ตกลงรับเข้าทำงาน แต่เปลี่ยนใจทีหลัง ระวังโดนฟ้อง

        เมื่อนายจ้างแจ้งรับผู้สมัครเข้าทำงาน ไม่ว่าจะผ่านการแจ้งด้วยวาจา เอกสาร หรือสัญญาจ้างงาน อาจถือได้ว่าเกิด “คำมั่น” หรือในบางกรณีอาจถึงขั้นเป็น “สัญญาจ้างงาน” ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ของประเทศไทย คำมั่นคือการที่ฝ่ายหนึ่งแสดงเจตนาจะผูกพันให้อีกฝ่ายได้รับผลประโยชน์บางอย่าง เช่น การรับเข้าทำงานในตำแหน่งที่ตกลงกัน หากมีการยอมรับคำมั่นนั้น (เช่น ผู้สมัครตอบรับการจ้างงาน) อาจถือว่ามีสัญญาจ้างงานเกิดขึ้นแล้ว

ในทางกฎหมาย หากนายจ้างผิดคำมั่นหรือผิดสัญญาโดยไม่รับผู้สมัครเข้าทำงานตามที่ตกลงไว้ นายจ้างอาจต้องรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้น ตามมาตรา 219 ของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ที่ระบุว่า หากมีการผิดสัญญา ฝ่ายที่ผิดสัญญาจะต้องชดใช้ค่าเสียหายให้แก่คู่สัญญาอีกฝ่าย

          ผู้สมัครที่ถูกปฏิเสธการเข้าทำงานหลังจากได้รับการยืนยันอาจได้รับความเสียหาย

  1. ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง
    ผู้สมัครอาจเสียค่าใช้จ่ายในการเตรียมตัวสำหรับการทำงาน เช่น ค่าเดินทาง ค่าที่พัก (กรณีต้องย้ายที่อยู่) หรือค่าใช้จ่ายในการซื้ออุปกรณ์ที่จำเป็นสำหรับงาน นอกจากนี้ อาจรวมถึงค่าเสียโอกาส เช่น การปฏิเสธข้อเสนองานจากบริษัทอื่นเพื่อรับข้อเสนอจากนายจ้างรายนี้

  2. ความเสียหายทางจิตใจ
    การถูกปฏิเสธในนาทีสุดท้ายอาจส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจของผู้สมัคร เช่น ความเครียด ความรู้สึกผิดหวัง หรือการสูญเสียความมั่นใจในตนเอง

  3. ค่าเสียโอกาส
    หากผู้สมัครปฏิเสธข้อเสนองานอื่นหรือลาออกจากงานเดิมเพื่อเตรียมตัวสำหรับงานใหม่ ความเสียหายจากโอกาสที่สูญเสียไปอาจมีมูลค่าสูง โดยเฉพาะหากผู้สมัครต้องว่างงานเป็นเวลานานหลังจากถูกปฏิเสธ

          การฟ้องร้องสามารถดำเนินการได้ผ่านศาลแรงงานหรือศาลแพ่ง ขึ้นอยู่กับลักษณะของข้อพิพาท โดยศาลจะพิจารณาความเสียหายที่เกิดขึ้นจริงและความสมเหตุสมผลของการเรียกร้อง

  • มีคำมั่นหรือสัญญาที่ชัดเจน
    ผู้สมัครต้องแสดงหลักฐานว่านายจ้างตกลงรับเข้าทำงาน เช่น อีเมลยืนยัน เอกสารข้อเสนองาน (Offer Letter) หรือบันทึกการสนทนาที่ชัดเจน

  • มีการผิดคำมั่นหรือผิดสัญญา
    ผู้สมัครต้องพิสูจน์ว่านายจ้างไม่ปฏิบัติตามคำมั่นหรือสัญญา โดยไม่มีเหตุผลอันสมควรตามกฎหมาย เช่น การยกเลิกข้อตกลงโดยไม่แจ้งล่วงหน้าหรือไม่มีเหตุผลที่ยอมรับได้

  • เกิดความเสียหายจริง
    ผู้สมัครต้องแสดงให้เห็นว่าตนได้รับความเสียหายจากพฤติกรรมของนายจ้าง เช่น ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงหรือการสูญเสียรายได้

          การที่นายจ้างตกลงรับผู้สมัครเข้าทำงานแล้วเปลี่ยนใจไม่รับอาจนำไปสู่การฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายได้ หากผู้สมัครสามารถพิสูจน์ได้ว่ามีคำมั่นหรือสัญญาที่ชัดเจนและตนได้รับความเสียหายจากพฤติกรรมของนายจ้าง อย่างไรก็ตาม การดำเนินคดีต้องอาศัยหลักฐานที่ชัดเจนและการประเมินความเสียหายที่สมเหตุสมผล เพื่อป้องกันปัญหาดังกล่าว นายจ้างควรระมัดระวังในการสื่อสารและกำหนดเงื่อนไขให้ชัดเจน ส่วนผู้สมัครควรเก็บหลักฐานและทำความเข้าใจเงื่อนไขของข้อเสนองานอย่างรอบคอบ การปฏิบัติตามแนวทางเหล่านี้จะช่วยลดความเสี่ยงและข้อพิพาทที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

 

ที่มา กฎหมายแรงงาน