องค์ความรู้ เรื่อง " ไม่รู้ ไม่ได้ " ส่งเงินสะสม เงินสมทบเข้ากองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างอย่างไร ให้ถูกต้องตามกฎหมายกองคุ้มครองแรงงาน กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง = กองทุนภาคบังคับ
กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง เป็นกองทุนภาคบังคับตามกฎหมายแรงงานที่จัดตั้งขึ้นเพื่อให้ความช่วยเหลือและคุ้มครองสิทธิประโยชน์แก่ลูกจ้างในกรณีที่ถูกเลิกจ้าง ถูกลอยแพ หรือกิจการปิดกิจการโดยไม่ได้รับค่าจ้างตามสิทธิที่ควรได้รับตามกฎหมายแรงงาน
กิจการภายใต้บังคับของกฎหมาย หมายถึงสถานประกอบการที่อยู่ภายใต้ข้อกำหนดของพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน ซึ่งหากนายจ้างและลูกจ้างไม่ได้จัดตั้ง “กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ” ภายในกิจการไว้แล้ว ก็ ไม่สามารถเลือก ที่จะไม่เข้าร่วม “กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง” ได้
กล่าวง่าย ๆ คือ การเข้าร่วมกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างเป็นสิ่งที่ต้องทำตามกฎหมาย (ไม่ใช่ความสมัครใจ) สำหรับกิจการที่ไม่มีระบบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ซึ่งถือเป็นทางเลือกแบบสมัครใจและเป็นสวัสดิการที่ดีมากกว่าสำหรับลูกจ้าง
ดังนั้น นายจ้างที่ไม่มีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ จะต้องดำเนินการส่งเงินสมทบเข้ากองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างโดยอัตโนมัติ เพื่อให้ลูกจ้างมีหลักประกันรองรับในกรณีฉุกเฉินหรือการเลิกจ้างในอนาคต
องค์ความรู้ เรื่อง " ไม่รู้ ไม่ได้ " ส่งเงินสะสม เงินสมทบเข้ากองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างอย่างไร ให้ถูกต้องตามกฎหมายกองคุ้มครองแรงงาน กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างนี้คืออะไร ?
เป็นกองทุนที่อยู่ภายใต้อ่านาจหน้าที่ของ: กลุ่มงานกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างกองคุ้มครองแรงงานกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
โดยมีจุดประสงค์: เพื่อเป็นทุนสงเคราะห์ลูกจ้างในกรณีที่ลูกจ้างออกจากงาน หรือตาย หรือในกรณีอื่นตามที่กำหนดโดยคณะกรรมการกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง
ใครเป็นผู้เกี่ยวข้อง ?
บังคับใช้กับนายจ้างที่มีลูกจ้าง 10 คนขึ้นไป ลูกจ้างในกิจการทั่วไปต้องเข้าเป็นสมาชิก กรณีลูกจ้างในกิจการที่ไม่อยู่ในบังคับ สามารถเป็นสมาชิกกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างได้ โดยสมัครใจ เช่น : กิจการที่มีลูกจ้างไม่ถึง 10 คน
- ลูกจ้างในมูลนิธิ สมาคม งานบ้าน
- โรงเรียนเอกขนเฉพาะในส่วนของผู้อ่านวยการครูและบุคลากรทางการศึกษา
- ลูกจ้างที่อยู่ในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
- นายจ้างที่จัดให้มีภารสงเคราะห์ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กฎกระทรวงกำหนด
อ่านเพิ่มเติม คลิก
อัตราเงินสะสมและเงินสมทบ ?
เริ่มมีผลบังคับใช้ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2568
เงินสะสมและเงินสมทบ :
- 1 ค. 2568 - 30 ก.ย. 2573 : ฝ่ายละ 0.25% ของค่าจ้าง
- 1 ต.ค. 2573 เป็นต้นไป : ฝ่ายละ 0.50% ของค่าจ้าง
เงินสะสม : เงินที่ลูกจ้างจ่ายเข้ากองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง
เงินสมทบ : เงินที่นายจ้างจ่ายสมทบให้แก่ลูกจ้างเพื่อส่งเข้าสมทบ กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง
ลูกจ้างจะได้เงินตอนไหน ?
กรณีออกจากงาน (ทุกสาเหตุ) : เลิกจ้าง / เกษียณ / ลาออก / สิ้นสุดสัญญา
กรณีเสียชีวิต :
- ให้บุคคลที่ระบุไว้ในแบบ สกล.5
- หากไม่ระบุ ตกแก่ บุตร คู่สมรส บิดา-มารดา
อ่านเพิ่มเติม คลิก
หน้าที่ของนายจ้าง
- หักค่าจ้างลูกจ้างเพื่อน่าส่งเป็นเงินสะสม
- จ่ายเงินสมทบให้แก่ลูกจ้างเพื่อส่งเข้ากองทุน
- ยื่นแบบแสดงรายซื่อลูกจ้าง (สกล.3, สกล.3/1)
- แบบแจ้งการเปลี่ยนแปลงหรือแก้ไขแบบรายการแสดงรายซื่อลูกจ้าง (สกล.3/2)
หน้าที่ของลูกจ้าง
- เข้าเป็นสมาชิก (หากอยู่ในกิจการที่อยู่ใน พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541)
- แจ้งข้อมูลที่เปลี่ยนแปลงให้นายจ้างทราบเช่น ชื่อ-นามสกุล สัญชาติ
- แจ้งข้อมูลผู้มีสิทธิรับเงินในกรณีเสียชีวิต (แบบ สกล.5)
ประโยชน์ของกองทุน
สำหรับลูกจ้าง :
- มีเงินออมเมื่อออกจากงาน
- มีหลักประกันในอนาคต
- เสริมขวัญกำลังใจในการท่างาน
สำหรับนายจ้าง :
- ส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดี
- สร้างความผูกพันในองค์กร
- จูงใจลูกจ้างให้อยู่กับองค์กรระยะยาว
ช่องทางติดต่อกองคุ้มครองแรงงาน
โทร : 02 660 2047 เว็บไซต์ https://protection.labour.go.th/
กลุ่มงานกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง
โทร: 02 660 2060 - 1 เว็บไซต์ https://ewf.labour.go.th/
ที่มา กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
แนะนำโปรแกรมบริหารงานบุคคล Bplus HRM เครื่องมือจัดการเงินเดือนและกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างครบวงจร
หากคุณกำลังมองหา ระบบ HR ที่คำนวณกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างได้อย่างถูกต้อง ครบถ้วนตามกฎหมาย พร้อมจัดการเงินเดือนและเอกสารทางกฎหมายแบบอัตโนมัติ Bplus HRM คือคำตอบสุดทันสมัย! โปรแกรมบริหารงานบุคคล Bplus HRM เครื่องมือจัดการเงินเดือนและกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างครบวงจร รองรับการคำนวณและหักเงินกองทุนอัตโนมัติ พร้อมแสดงข้อมูลชัดเจนบนสลิปเงินเดือน และรายงาน สกล.3 / สกล.3-1 พร้อมส่ง
หากท่านยังลังเลว่าควรใช้โปรแกรมเงินเดือน
หรือยังจะใช้การจดลงตารางแบบเดิมๆ
หรือหากมีโปรแกรมเงินเดือนสำเร็จรูปอยู่แล้ว แต่ก็ยังต้องมาคิดคำนวณนอกโปรแกรมเงินเดือนอีก เรายินดีให้คำปรึกษาติดต่อหาเราได้ที่