Skill ที่ธุรการต้องมี ในยุค Hybrid Working

          การทำงานแบบ Hybrid Working หมายถึง วิธีการทำงานที่ผสมระหว่างการทำงานที่สถานที่ทำงาน (ออฟฟิศ) และการทำงานจากที่ไกล (Remote) โดยที่พนักงานสามารถทำงานที่บ้านหรือที่อื่นที่ไม่ใช่ที่ออฟฟิศได้ แต่ยังมีการมาทำงานที่ออฟฟิศบางช่วงเวลาตามความเหมาะสม โดยมีการระบุกำหนดเวลาหรือวันที่เป็นที่ๆ พนักงานต้องมาทำงานที่ออฟฟิศ เช่น วันจันทร์ถึงวันพฤหัสบดีทำงานที่ออฟฟิศ และวันศุกร์ทำงานจากที่บ้าน หรือรูปแบบอื่น ๆ ตามที่องค์กรกำหนด 

          การทำงานแบบ Hybrid Working ที่มาด้วยความท้าทายในเรื่อง การจัดการการสื่อสารระหว่างทีมที่ทำงาน การสร้างบรรยากาศทำงาน การจัดการเวลาการทำงานให้เหมาะสม และการรักษาความสมดุลระหว่างชีวิตส่วนตัวและการทำงาน ดังนั้น การจัดการที่ดีและการสนับสนุนที่เหมาะสมจะเป็นสิ่งสำคัญในการทำงานแบบ Hybrid Working อย่างมีประสิทธิภาพ

Hybrid Working มีข้อดีหลายประการ 

  1. ความยืดหยุ่น พนักงานสามารถทำงานจากที่ไหนก็ได้ที่มีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ทำให้มีความสะดวกสบายและยืดหยุ่นในการจัดการเวลาการทำงาน

  2. ลดการติดต่อใกล้ชิด การลดการมาทำงานที่ออฟฟิศในบางวันทำให้ลดการติดต่อใกล้ชิดและความเสี่ยงในการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อ

  3. เพิ่มประสิทธิภาพ บางคนอาจพบว่าการทำงานจากที่บ้านทำให้สามารถทำงานได้มากขึ้น เนื่องจากสภาพแวดล้อมที่เงียบสงบและไม่มีการรบกวนจากบุคคลอื่น

  4. ลดค่าใช้จ่าย การลดการเดินทางไปที่ออฟฟิศทำให้ลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการทำงาน

  5. สร้างสมดุลในชีวิตส่วนตัวและการทำงาน พนักงานสามารถจัดการเวลาและสมดุลชีวิตส่วนตัวและการทำงานได้อย่างเหมาะสม

 

          ในยุค Hybrid Working ที่มีการทำงานแบบผสมระหว่างการทำงานแบบออฟฟิศและการทำงานระยะไกล ธุรการที่แต่เดิมทำงานเฉพาะอยู่ในออฟฟิศ การพัฒนาทักษะเหล่านี้จะช่วยให้ธุรการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพในสถานการณ์การทำงานแบบ Hybrid Working ที่มีการเปลี่ยนแปลงและปรับตัวอยู่ตลอดเวลา และช่วยสนับสนุนการทำงานที่ยืดหยุ่นและมีประสิทธิภาพอย่างเต็มที่ในสภาพการณ์ที่ต่าง ๆ ได้เกิดขึ้น

  1. ทักษะการสื่อสาร (Communication Skill)

    การสื่อสารอย่างชัดเจนและเป็นระบบ เป็นสิ่งสำคัญในการทำงานร่วมกับทีมที่แตกต่างกันทั้งทำงานที่ออฟิศและระยะไกล การใช้ช่องทางสื่อสารที่เหมาะสม เช่น การใช้โปรแกรมสื่อสารออนไลน์ การปรับสื่อสารให้เข้ากับผู้อื่นที่มีสภาพการเชื่อมต่อต่าง ๆ
  2. ทักษะการเป็นกำลังเอง (Self-motivation Skill)

    การมีความรับผิดชอบและความรู้สึกที่จะทำงานอย่างมีคุณภาพแม้ในสภาวะการทำงานที่ไม่มีคนติดตาม การตั้งเป้าหมายเพื่อให้มีการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและการทำงานอย่างต่อเนื่อง
  3. ทักษะการจัดการเอกสารและการวางแผน (Organizational Skill)

    การจัดการเอกสารและข้อมูลให้มีระเบียบและเรียงลำดับตามลำดับความสำคัญ เพื่อให้งานดำเนินไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ การวางแผนเวลาและการตั้งเป้าหมายที่สามารถบรรลุได้
  4. ทักษะการปรับตัวและความยืดหยุ่น (Adaptability and Flexibility Skills)

    การเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว การปรับตัวและการทำงานในสภาวะที่มีการเปลี่ยนแปลง การรับมือกับความผันผวนในการทำงานและสภาพแวดล้อมที่มีการเปลี่ยนแปลง

 


ที่มา JobsDB