Work-Life Balance ไม่ใช่แค่เทรนด์ของโลกการทำงานยุคใหม่ แต่คือหัวใจสำคัญในการดูแลทรัพยากรมนุษย์อย่างยั่งยืน การส่งเสริมให้พนักงานมีสมดุลระหว่างชีวิตส่วนตัวและการทำงาน ไม่เพียงแต่ช่วยให้พวกเขามีความสุข แต่ยังสร้างประโยชน์ต่อองค์กรในหลายมิติ เช่น ป้องกันการหมดไฟ (Burnout), เพิ่มความผูกพัน และผลักดันให้เกิดผลงานที่สร้างสรรค์มากขึ้น
เหตุผลที่ HR และผู้นำองค์กรควรให้ความสำคัญ
1. ป้องกันการหมดไฟในการทำงาน (Burnout) ความเครียดสะสมจากการทำงานหนักเกินไป โดยไม่มีเวลาพักผ่อนหรือทำกิจกรรมที่ชอบ อาจนำไปสู่ภาวะหมดไฟได้ง่าย การส่งเสริม Work-Life Balance ช่วยให้พนักงานมีเวลาชาร์จพลัง พร้อมกลับมาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
2. เพิ่มความผูกพันของพนักงานต่อองค์กร พนักงานที่รู้สึกว่าองค์กรให้ความสำคัญกับชีวิตส่วนตัวของเขา มักจะเกิดความรู้สึกผูกพัน (Employee Engagement) และพร้อมจะเติบโตไปกับองค์กรในระยะยาว
3. พนักงานสร้างสรรค์งานได้ดีขึ้น การมีเวลาพักอย่างเพียงพอ ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ ลดความตึงเครียด ทำให้พนักงานคิดงานได้หลากหลาย มุมมองเปิดกว้าง และกล้าลองวิธีใหม่ ๆ ในการทำงาน
4. สร้างความแข็งแกร่งในการทำงาน พนักงานที่มีสุขภาพกายและใจที่ดีจะมีความยืดหยุ่นสูง พร้อมรับมือกับปัญหาและความท้าทายต่าง ๆ ในที่ทำงานได้ดีขึ้น นำไปสู่ทีมงานที่มีความเข้มแข็งและมีสมรรถนะสูง
แนวทางส่งเสริม Work-Life Balance ที่องค์กรทำได้
-
ให้ความยืดหยุ่นด้านเวลา เช่น การทำงานแบบ Hybrid หรือ Flexible Hours
-
ส่งเสริมกิจกรรมเสริมสุขภาพ เช่น การออกกำลังกาย การจัดกิจกรรมผ่อนคลาย
-
จัดวันลาอย่างเหมาะสม รวมถึงสนับสนุนให้พนักงานใช้สิทธิลางานอย่างเต็มที่
-
สนับสนุนสภาพแวดล้อมการทำงานที่เป็นมิตร เช่น มีมุมพักผ่อนในออฟฟิศ พื้นที่ทำงานที่อบอุ่นและไม่กดดัน
-
เปิดโอกาสให้แสดงความเห็น ให้พนักงานสามารถเสนอไอเดียหรือแจ้งปัญหาเกี่ยวกับความสมดุลในการทำงาน
ที่มา JobsDB