มีเหตุให้ต้องลดค่าจ้างหรือสวัสดิการ นายจ้างต้องทำอย่างไร

          ในโลกของการทำงาน สิทธิขั้นพื้นฐานของพนักงานอย่าง ค่าจ้างและสวัสดิการ ถือเป็นหัวใจสำคัญของสภาพการจ้าง หลายครั้งองค์กรอาจประสบปัญหาทางธุรกิจจนต้องการ “ลดค่าจ้างหรือสวัสดิการ” แต่คำถามคือ นายจ้างสามารถทำได้เลยหรือไม่ ?

          แม้กิจการจะเป็นของนายจ้างโดยตรง แต่การจะลดค่าจ้างหรือสวัสดิการของลูกจ้างลง ไม่สามารถทำได้โดยพลการ เพราะค่าจ้างและสวัสดิการถือเป็น สภาพการจ้าง ซึ่งกฎหมายแรงงานกำหนดไว้อย่างชัดเจนว่า นายจ้างจะเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างที่เป็น โทษหรือไม่เป็นคุณกับลูกจ้าง ได้ก็ต่อเมื่อมีความยินยอมจากลูกจ้างด้วยเท่านั้น

ซึ่งกฎหมายแรงงานรองรับช่องทางที่พนักงานจะแสดง “ความยินยอม” เอาไว้ดังนี้

  1. ยื่นข้อเรียกร้องตามกฎหมายแรงงานสัมพันธ์
    เป็นการดำเนินการตามกระบวนการแรงงานสัมพันธ์ที่เป็นทางการ ใช้กรณีที่มีสหภาพแรงงานหรือผู้แทนลูกจ้าง

  2. ทำเป็นหนังสือยินยอม
    เช่น การลงนามในเอกสาร การเซ็นรับทราบ การตอบอีเมลอย่างชัดเจนว่าตกลงตามการเปลี่ยนแปลง

  3. การเปลี่ยนโดยปริยาย (ประกาศฝ่ายเดียว)
    นายจ้างอาจประกาศเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างฝ่ายเดียว เช่น ติดบอร์ดประกาศในโรงอาหาร หรือประกาศผ่านเว็บไซต์/อีเมล หากลูกจ้างไม่โต้แย้งใด ๆ ก็ถือว่า “ยินยอมโดยปริยาย”

โดยหากลูกจ้าง ไม่เห็นด้วย ต้องรีบโต้แย้ง มิฉะนั้นอาจถูกตีความว่า “ยอมรับโดยปริยาย” 

  1. โต้แย้งเป็นหนังสือ สามารถทำได้ทั้งแบบเอกสารเป็นทางการ หรือผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ เช่น อีเมล หรือข้อความแชท (ไลน์) โดยควรส่งถึงนายจ้างหรือผู้แทนนายจ้างโดยตรง

  2. ร้องต่อพนักงานตรวจแรงงาน หากเห็นว่ามีการเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างโดยไม่เป็นธรรม สามารถร้องเรียนต่อพนักงานตรวจแรงงานได้ทันที การร้องเรียนถือเป็นการแสดงเจตนาไม่ยินยอมเช่นเดียวกัน           

          นายจ้างไม่สามารถลดค่าจ้างหรือสวัสดิการฝ่ายเดียวได้ เว้นแต่ลูกจ้างยินยอม และลูกจ้างควรตรวจสอบประกาศต่าง ๆ ขององค์กรอย่างสม่ำเสมอ หากไม่เห็นด้วย ต้องรีบโต้แย้งเป็นลายลักษณ์อักษรหรือร้องต่อพนักงานตรวจแรงงานทันที อีกทั้งสำหรับ HR ควรสื่อสารอย่างโปร่งใสและดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมาย เพื่อรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับพนักงานและป้องกันข้อพิพาทแรงงาน

 

ที่มา กฎหมายแรงงาน