ในกรณีที่เกิด น้ำท่วม ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ไม่สามารถควบคุมหรือป้องกันได้ ถือว่าเป็น เหตุสุดวิสัย (Force Majeure) ตามหลักกฎหมาย กล่าวคือ เหตุสุดวิสัยคือเหตุที่เกิดขึ้นโดยไม่ได้เกิดจากความผิดของฝ่ายใด และไม่สามารถป้องกันได้ แม้จะมีความระมัดระวังตามสมควรแล้วก็ตาม
ตาม มาตรา 75 แห่ง พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน กำหนดไว้ว่า หากนายจ้างหยุดกิจการชั่วคราว โดยไม่มีเหตุสุดวิสัย ต้องจ่ายค่าจ้างไม่น้อยกว่า 75% ของค่าจ้างในวันทำงานปกติ แต่หากมีเหตุสุดวิสัย เช่น น้ำท่วม ที่ทำให้ไม่สามารถดำเนินธุรกิจได้จริง นายจ้างอาจ ไม่ต้องจ่ายค่าจ้าง เนื่องจากเข้าข่าย “การชำระหนี้ตกเป็นพ้นวิสัย” ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 219
คำพิพากษาฎีกาที่ 118/2525
โรงงานขนมปังที่อ้างว่าน้ำท่วมจนต้องปิดกิจการ ศาลเห็นว่า โรงงานไม่ได้ถูกน้ำท่วมโดยตรง เพียงแค่เข้าออกลำบาก และไม่มีกำไรจากการผลิต ดังนั้น ไม่ถือว่าเป็นเหตุสุดวิสัยที่ทำให้ไม่สามารถจ่ายค่าจ้างได้
ศาลตัดสินให้นายจ้างยังต้องจ่ายค่าจ้างตามปกติ
-
ถ้าน้ำท่วมจริงจนกิจการดำเนินต่อไม่ได้ เช่น สถานที่ผลิตเสียหายหนัก หรือเข้าถึงไม่ได้อย่างสิ้นเชิง
นายจ้างอาจไม่ต้องจ่ายค่าจ้าง เพราะเป็นเหตุสุดวิสัยตามกฎหมาย
-
แต่น้ำท่วมที่ไม่กระทบโดยตรงต่อการทำงาน เช่น น้ำท่วมรอบโรงงานแต่ยังเปิดได้ เพียงแค่ลำบาก
ยังไม่ถือว่าเป็นเหตุสุดวิสัย
นายจ้างยังคงต้องจ่ายค่าจ้าง ตามสัญญาจ้างแรงงาน
-
ต้องพิจารณาเป็นกรณีไป ว่า “น้ำท่วม” นั้นกระทบต่อการทำงานจริงหรือไม่ และถึงขั้นที่หลุดพ้นจากภาระการจ่ายค่าจ้างหรือไม่
ที่มา กฎหมายแรงงาน