เกณฑ์เงินสด กับ เกณฑ์คงค้าง แตกต่างและกระทบต่องบการเงินอย่างไร
เคยสงสัยกันกันไหมว่า การบันทึกบัญชีในทุกวันนี้เราใช้หลักเกณฑ์อะไรกัน สิ่งแรกที่คิดได้ คงหนี้ไม่พ้น เกณฑ์เงินสด หรือ เกณฑ์คงค้าง แล้วเราต้องใช้เกณฑ์ไหนในการบันทึกบัญชีกัน
เพื่อคลายข้อสงสัย ในบทความนี้ เรามาเรียนรู้เกี่ยวกับเกณฑ์เงินสดกับเกณฑ์คงค้างกันดีกว่าง
เกณฑ์เงินสด คืออะไร และเกณฑ์คงค้างคืออะไรกัน และเวลาที่บันทึกบัญชีควรใช้เกณฑ์ไหนในการบันทึกบัญชี
เรามาทำคำความเข้าใจกันดีกว่า
หลายๆ ท่านคงทราบความหมายของเกณฑ์เงินสดและเกณฑ์คงค้างกันแล้ว มาลองทบทวนกันว่าสิ่งที่เราเข้าใจถูกต้องไหม
เกณฑ์เงินสด (Cash Basic)
- เป็นการบันทึกรายได้และค่าใช้จ่ายแต่ละงวดที่ได้รับหรือจ่ายเงินสด
- เรามีขีดเส้นใต้คำว่า เงินสดรับ หรือจ่ายในแต่ละงวด นั้นคือ สิ่งที่เกณฑ์เงินสดให้ความสนใจ
- ในทางบัญชี จึงมักเกิดข้อโต้แย้งว่า เกณฑ์นี้ เน้นที่เงินสดเข้า-ออก ไม่ใช่ช่วงเวลาที่รายได้และค่าใช้จ่ายเกิดขึ้น เกณฑ์นี้จึงไม่สะท้อนผลการดำเนินงานที่แท้จริง ในงบกำไรขาดทุน
เกณฑ์คงค้าง (Accrual Basic)
- เป็นการบันทึก รายได้และค่าใช้จ่าย ทั้งหมดที่เป็นของงวดบัญชีนั้น ๆ และแยกส่วนที่ไม่เกี่ยวข้องกับงวดบัญชีนั้น ๆ ออกไป
- สังเกตคำว่ารายได้ และค่าใช้จ่าย ตามงวดบัญชี เพราะเกณฑ์นี้ไม่สนใจว่ารับหรือจ่ายเงินสดเมื่อไร เมื่อความเสี่ยงและผลตอบแทนเกิดขึ้นแล้ว การบันทึกรายการจะเกิดขึ้นทันที
- เกณฑ์คงค้างนี้ ตรงตามหลัก การบันทึกบัญชีที่ว่า การจับคู่รายได้และค่าใช้จ่าย
เรามาดูตัวอย่างกันดีกว่า
ทบทวนความหมายในข้อแรกเราลองมาดูตัวอย่างง่ายๆ เพื่อให้เห็นภาพกันดีกว่า
สมมติว่า บริษัท น้ำใสใจจริง จำกัด ขายสินค้าให้ลูกค้าและส่งสินค้าวันที่ 30/11/xxxx และได้รับเงินวันที่ 02/12/xxxx
เราลองมาดูกันซิว่าเกณฑ์เงินสดและเกณฑ์คงค้าง จะบันทึกบัญชีอย่างไรกันน๊า
เกณฑ์เงินสด
30/11/xxxx
ไม่มีการบันทึกบัญชี
02/12/xxxx
Dr.เงินสด xx
Cr.รายได้ xx
|
เกณฑ์คงค้าง
30/11/xxxx
Dr.ลูกหนี้การค้า xx
Cr.รายได้ xx
02/12/xxxx
Dr.เงินสด xx
Cr.ลูกหนี้การค้า xx
|
จากตัวอย่างนี้ จะทำให้เราเข้าใจง่ายขึ้น ซึ่งจะเห็นได้ว่า ถ้าใช้เกณฑ์เงินสด กิจการจะบันทึกรับรู้รายได้ วันที่ 02/12/xxxx เพราะสนใจวันที่รับเงินสดเข้าเป็นหลัก
ในกรณีกลับกันถ้าเป็นเกณฑ์คงค้าง จะบันทึกรายได้เมื่อวันที่ 30/11/xxxx เพราะกิจการได้ส่งสินค้าให้กลูกค้าเมื่อวันที่ 30/11/xxxx แปลว่ารายได้เกิดขึ้นแล้ว ตามนิยมการรับรู้รายได้ที่มองไปถึงการโอนความเสี่ยงและผลตอบแทนแก่ลูกค้าเป็นหลัก ถ้าเป็นการขายสินค้าภายในประเทศ เมื่อสินค้าถูกส่งให้ลูกค้า ลูกค้าย่อมมีกรรมสิทธิ์ในสินค้านั้นแล้ว ถัดมาเมื่อวันที่ 02/12/xxxx กิจการได้รับเงินสดก็จะบันทึกเป็นเดบิตเงินสด เครดิตลูกหนี้การค้านั้นเอง
ใช้เกณฑ์ต่างก็แสดงผลในงบการเงินแตกต่างกัน
รู้หรือไม่ว่า ถ้าบันทึกบัญชีด้วยเกณฑ์ที่ผิด การตีความในงบการเงินนั้นจะผิดเพี้ยนไปด้วย
กรณี เกณฑ์คงค้าง เราตั้งต้นจากสิ่งที่ถูกต้องก่อน คือมาตรฐานบัญชีการรับรู้รายได้ สำหรับเกณฑ์คงค้าง บันทึกบัญชีตามงวดที่รายได้เกิดขึ้นจริงนั้น หมายความว่าทั้งงบกำไรขาดทุนและงบแสดงสถานะเงินสดแสดงในจำนวนเงินที่ถูกต้อง และตรงตามงวดบัญชีนั้นเอง
แต่หากเป็น เกณฑ์เงินสด จะบันทึกบัญชีก็ต่อเมื่อมีรายการที่เป็นเงินสดเข้ามานั้น ดังนั้น รายได้ในงวดของเดือน 11/xxxx แสดงต่ำไปจากสิ่งที่ควรจะเป็น แม้ว่าวันที่ 30/11/xxxx มีการส่งสินค้าแล้ว รายได้เกิดขึ้นแล้ว ผลกระทบก็คือ รายได้ในงบกำไรขาดทุนแสดงต่ำกว่าความเป็นจริง และงบแสดงฐานะการเงิน ลูกหนี้การค้าก็จะแสดงต่ำไปกว่าที่ควรจะเป็น
เกณฑ์เงินสด
งบแสดงฐานะการเงิน
ลูกหนี้การค้าต่ำไป
งบกำไรขาดทุน
รายได้ต่ำไป
|
เกณฑ์คงค้าง
งบแสดงฐานะการเงิน
ไม่มี
งบกำไรขาดทุน
ไม่มี
|
ลองคิดกันต่อนะคะ หาเราเป็นนักลงทุน เปรียบเทียบระหว่างสองงบ เราคงจะเลือกลงทุนในงบที่มีรายได้มากกว่าแน่นอน แล้วถ้าเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นในงบตลาดหลักทรัพย์ จะเกิดอะไรขึ้น ทำให้ผู้ใช้งบตัดสินใจผิดเพี้ยนได้มากมายขนาดไหน
สรุปกันนะจ๊ะ
จากตัวอย่างของที่เรายกมาข้างบน คงจะพอเข้าใจกันว่า ถ้าเลือกใช้เกณฑ์เงินสดในการบันทึกบัญชีทั้งรายได้และลูกหนี้ของการค้าจะแสดงต่ำเกินไป เกณฑ์เงินสด จึงไม่เหมาะสมสำหรับกิจการที่วัดผลการดำเนินงานด้วยกำไรหรือขาดทุนสุทธิในงวดเหล่านั้น (เพราะแน่นอนว่าต้นทุนสินค้าได้รับรู้ไปแล้วในงวดบัญชีแรก)
เกณฑ์ที่เหมาะสมกว่า จึงสรุปกันว่าเป็น เกณฑ์คงค้างนั้นเอง หรือที่เราเรียกกันว่า Accrual Basic เพราะเรารับรู้รายได้เมื่อมันเกิดขึ้นจริงๆ และค่าใช้จ่ายถูกรับรู้ไปพร้อมกับรายได้ที่เกิดขึ้นดังนั้น เกณฑ์คงค้างจึงตอบโจทย์ตามหลักการจับคู่รายได้และค่าใช้จ่าย นั่นเอง
อ้างอิง https://thaicpdathome.com