ต่อว่านายจ้างไร้มนุษยธรรม แม้ไม่หมิ่นประมาท ก็อาจเลิกจ้างได้

          การต่อว่านายจ้างหมายถึงการแสดงออกในลักษณะที่อาจดูหมิ่น วิพากษ์วิจารณ์ หรือตำหนินายจ้าง ไม่ว่าจะเป็นการพูดต่อหน้า การเขียนข้อความในสื่อสังคมออนไลน์ หรือการกระทำที่แสดงถึงความไม่เคารพหรือก้าวร้าวต่อนายจ้าง การกระทำเหล่านี้อาจไม่ถึงขั้นหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 ซึ่งกำหนดว่าการหมิ่นประมาทต้องมีการใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สามโดยเจตนาทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง แต่ถึงอย่างนั้น การต่อว่านายจ้างอาจถูกพิจารณาว่าเป็นการกระทำที่ขัดต่อวินัยหรือจรรยาบรรณในการทำงาน

          หากการต่อว่านายจ้างส่งผลกระทบต่อความเชื่อถือหรือชื่อเสียงของนายจ้าง เช่น การวิพากษ์วิจารณ์นายจ้างในที่สาธารณะจนทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ขององค์กร หรือการกระทำที่ทำให้เพื่อนร่วมงานหรือลูกค้าเกิดความไม่ไว้วางใจในตัวนายจ้าง การกระทำนั้นอาจถูกตีความว่าเป็นการละเมิดหน้าที่ของลูกจ้างตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 583 ซึ่งระบุว่าลูกจ้างต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตและไม่กระทำการที่เป็นปฏิปักษ์ต่อผลประโยชน์ของนายจ้าง

          เจตนาเป็นปัจจัยสำคัญในการพิจารณาว่าการต่อว่านายจ้างจะนำไปสู่การเลิกจ้างได้หรือไม่ หากลูกจ้างมีเจตนาที่จะทำให้เกิดความเสียหายแก่นายจ้าง เช่น จงใจเผยแพร่ข้อมูลเท็จเพื่อให้เกิดความเสียหายต่อธุรกิจ หรือกระทำการที่มุ่งหวังให้เกิดความขัดแย้งในองค์กร การกระทำดังกล่าวอาจถูกตีความว่าเป็นการฝ่าฝืนหน้าที่อย่างร้ายแรง ซึ่งอาจเป็นเหตุให้เลิกจ้างได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย

          การพิจารณาว่าการต่อว่านายจ้างจะนำไปสู่การเลิกจ้างโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ขึ้นอยู่กับพฤติการณ์และข้อเท็จจริงในแต่ละกรณี 

  • ความรุนแรงของการกระทำ การต่อว่านายจ้างในที่ส่วนตัวอาจมีน้ำหนักน้อยกว่าการกระทำในที่สาธารณะ

  • เจตนาของลูกจ้าง มีหลักฐานหรือไม่ว่าลูกจ้างมีเจตนาทำลายชื่อเสียงหรือผลประโยชน์ของนายจ้าง

  • ผลกระทบที่เกิดขึ้น การกระทำนั้นทำให้เกิดความเสียหายต่อชื่อเสียง ผลประโยชน์ หรือความเชื่อมั่นในองค์กรมากน้อยเพียงใด

  • บริบทของการกระทำ การต่อว่านายจ้างเกิดจากความขัดแย้งส่วนตัว หรือเป็นการแสดงความเห็นโดยสุจริต เช่น การร้องเรียนเกี่ยวกับสภาพการทำงานที่ไม่เป็นธรรม

 

 

ที่มา กฎหมายแรงงาน