ลูกจ้างลากิจไปดูแลคนในครอบครัวป่วย 3 วัน นายจ้างจะเลิกจ้างเพราะละทิ้งหน้าที่ได้หรือไม่

          ในยุคที่ความสัมพันธ์ในครอบครัวยังคงเป็นหัวใจสำคัญของสังคมไทย คำถามเกี่ยวกับสิทธิของลูกจ้างที่ต้องลางานเพื่อดูแลครอบครัวที่เจ็บป่วยจึงเป็นประเด็นที่ทั้งน่าสนใจและน่าเห็นใจ กรณีตัวอย่างที่ได้รับความสนใจคือ ลูกจ้างรายหนึ่งต้องลากิจธุระจำเป็น 1 สัปดาห์เพื่อดูแลมารดาที่ประสบอุบัติเหตุในต่างจังหวัด โดยมารดาไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ และลูกจ้างไม่มีพี่น้องหรือญาติที่สามารถช่วยเหลือได้ อย่างไรก็ตาม สิทธิลากิจตามข้อบังคับของสถานที่ทำงานมีเพียง 3 วันเท่านั้น ผลที่ตามมาคือ นายจ้างส่งหนังสือเลิกจ้างโดยอ้างว่าลูกจ้างละทิ้งหน้าที่จากการขาดงานเกิน 3 วัน กรณีนี้ นายจ้างมีสิทธิเลิกจ้างหรือไม่? และลูกจ้างมีแนวทางดำเนินการตามกฎหมายอย่างไร? น้องบีพลัสจะพาไปหาคำตอบอย่างละเอียด

หลักกฎหมายเกี่ยวกับการลากิจและการละทิ้งหน้าที่

          ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 34 ลูกจ้างมีสิทธิลากิจธุระจำเป็นได้ตามข้อบังคับของนายจ้างหรือตามที่ตกลงกันในสัญญาจ้าง โดยทั่วไป สถานที่ทำงานจะกำหนดจำนวนวันลากิจไว้ เช่น 3 วันต่อปี และอาจกำหนดเงื่อนไข เช่น ต้องแจ้งล่วงหน้าหรือแสดงเหตุผลที่สมควร

          ในกรณีที่ลูกจ้างขาดงานเกิน 3 วันทำงานติดต่อกันโดยไม่แจ้งนายจ้าง อาจเข้าข่าย ละทิ้งหน้าที่ ตามมาตรา 119 (4) ซึ่งนายจ้างสามารถเลิกจ้างได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย อย่างไรก็ตาม กฎหมายระบุชัดเจนว่า การละทิ้งหน้าที่จะต้องเป็น “การละทิ้งหน้าที่โดยไม่มีเหตุอันสมควร” ดังนั้น คำถามสำคัญคือ เหตุอันสมควรคืออะไร? และการลาเพื่อดูแลมารดาที่ป่วยหนักถือเป็นเหตุอันสมควรหรือไม่?

เหตุอันสมควรตามกฎหมาย

เพื่อความชัดเจน อาจารย์พงรัตน์ เครือกลิ่น ได้แบ่งประเภทของเหตุอันสมควรไว้ดังนี้

  1. เหตุจากสุขภาพร่างกาย
    การเจ็บป่วยของตัวลูกจ้างเอง ถือเป็นเหตุอันสมควร แม้ในบางกรณีอาจไม่มีใบรับรองแพทย์ระบุจำนวนวันหยุด แต่หากลูกจ้างมีหลักฐานยืนยัน เช่น ใบเสร็จนัดพบแพทย์ หรือประวัติการรักษา และแสดงให้เห็นว่าสภาพร่างกายไม่สามารถทำงานได้จริง การขาดงานดังกล่าวจะไม่ถือเป็นการละทิ้งหน้าที่โดยไม่มีเหตุอันสมควร

  2. เหตุจำเป็นของครอบครัว
    การต้องดูแลบิดา มารดา คู่สมรส หรือบุตรที่เจ็บป่วยหรือประสบเหตุฉุกเฉิน ถือเป็นเหตุอันสมควร โดยเฉพาะในสังคมไทยที่ค่านิยมการดูแลครอบครัวเป็นเรื่องสำคัญ ตัวอย่างเช่น การลาเพื่อดูแลมารดาที่ได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ ซึ่งลูกจ้างเป็นผู้ดูแลหลักเพียงคนเดียว

  3. เหตุทางสังคม
    การลาเพื่อเข้าร่วมงานสังคม เช่น งานแต่งงานหรืองานบวชของเพื่อน โดยทั่วไปถือว่าไม่มีเหตุอันสมควร เนื่องจากไม่ใช่เหตุจำเป็นที่เกี่ยวข้องกับหน้าที่หรือความรับผิดชอบโดยตรงของลูกจ้าง

กรณีตัวอย่าง ลากิจเกิน 3 วันเพื่อดูแลมารดา

          ในกรณีที่ลูกจ้างแจ้งนายจ้างล่วงหน้าว่าต้องลากิจ 1 สัปดาห์เพื่อดูแลมารดาที่ประสบอุบัติเหตุ โดยระบุเหตุผลชัดเจนว่ามารดาไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้และลูกจ้างเป็นผู้ดูแลเพียงคนเดียว แม้จะเกินสิทธิลากิจ 3 วันตามข้อบังคับ ถือว่าเป็น เหตุอันสมควร ตามหลักมนุษยธรรมและจารีตประเพณีของสังคมไทย

          คำวินิจฉัยของศาลฎีกาที่ 3651/2559 สนับสนุนแนวคิดนี้ โดยในคดีดังกล่าว ลูกจ้างได้รับอนุญาตให้ลากิจ 3 วันเพื่อดูแลมารดาที่ป่วย แต่ก่อนครบกำหนด ลูกจ้างส่งโทรเลขแจ้งนายจ้างว่ามารดายังป่วยหนัก ต้องอยู่ดูแลต่อรวม 12 วันโดยไม่ได้รับอนุญาตเพิ่มเติม ศาลวินิจฉัยว่า การขาดงานดังกล่าวถือเป็นการละทิ้งหน้าที่ แต่มีเหตุอันสมควร เนื่องจากเกี่ยวข้องกับการดูแลมารดา ซึ่งเป็นหน้าที่ทางครอบครัวที่สำคัญ ดังนั้น นายจ้างที่เลิกจ้างลูกจ้างในกรณีนี้ต้องจ่าย ค่าชดเชย ตามกฎหมาย

นายจ้างเลิกจ้างได้หรือไม่?

ในกรณีที่ลูกจ้างแจ้งเหตุผลและขั้นตอนการลาตามข้อบังคับ แม้จะลาเกิน 3 วันตามสิทธิ การเลิกจ้างโดยอ้างว่าละทิ้งหน้าที่อาจไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจาก

  1. การลามีเหตุอันสมควร
    การดูแลมารดาที่ป่วยหนักจากอุบัติเหตุเป็นเหตุจำเป็นเร่งด่วนและสมควร นายจ้างจึงไม่สามารถอ้างว่าลูกจ้างละทิ้งหน้าที่โดยไม่มีเหตุผลได้

  2. การเลิกจ้างอาจไม่เป็นธรรม
    หากนายจ้างเลิกจ้างโดยไม่จ่ายค่าชดเชย หรือเลิกจ้างโดยไม่พิจารณาความจำเป็นของลูกจ้าง อาจเข้าข่าย การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ตามมาตรา 49 ของ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 ลูกจ้างสามารถฟ้องเรียกค่าเสียหายหรือขอให้ศาลสั่งให้กลับเข้าทำงานได้

  3. การแจ้งล่วงหน้าสำคัญ
    หากลูกจ้างแจ้งนายจ้างล่วงหน้าและระบุเหตุผลชัดเจน (เช่น ผ่านอีเมล ข้อความ หรือโทรศัพท์) แม้จะไม่ได้รับอนุญาตให้ลาเพิ่ม แต่การแจ้งดังกล่าวแสดงถึงความรับผิดชอบและเจตนาที่จะปฏิบัติตามขั้นตอน ซึ่งศาลมักพิจารณาเป็นคุณต่อลูกจ้าง

แนวทางดำเนินการของลูกจ้าง

หากลูกจ้างถูกเลิกจ้างในกรณีนี้ สามารถดำเนินการตามกฎหมายได้ดังนี้

  1. รวบรวมหลักฐาน

    • หลักฐานการแจ้งลานายจ้าง เช่น อีเมล ข้อความ หรือบันทึกการโทรศัพท์

    • หลักฐานเหตุผลการลา เช่น ใบรับรองแพทย์ของมารดา ใบเสร็จค่ารักษา หรือเอกสารยืนยันอุบัติเหตุ

    • เอกสารเกี่ยวกับข้อบังคับการลาของสถานที่ทำงาน และสัญญาจ้าง

  2. ยื่นคำร้องต่อหน่วยงานรัฐ
    ลูกจ้างสามารถยื่นคำร้องต่อ สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ในพื้นที่เพื่อขอให้ตรวจสอบการเลิกจ้างและเจรจากับนายจ้าง โดยหน่วยงานนี้จะช่วยไกล่เกลี่ยและให้คำแนะนำ

  3. ฟ้องศาลแรงงาน
    หากการเจรจาไม่เป็นผล ลูกจ้างสามารถยื่นฟ้องต่อ ศาลแรงงาน เพื่อเรียก ค่าชดเชย (ตามอายุงานและเงินเดือน) หรือ ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม รวมถึงขอให้ศาลสั่งให้กลับเข้าทำงานได้ในบางกรณี

  4. ขอคำปรึกษาทางกฎหมาย
    ปรึกษาทนายความที่เชี่ยวชาญด้านกฎหมายแรงงาน หรือขอความช่วยเหลือจากหน่วยงาน เช่น กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ หรือสภาทนายความ เพื่อให้คำแนะนำและช่วยดำเนินคดี

ข้อแนะนำสำหรับลูกจ้าง

เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้น ลูกจ้างควรปฏิบัติตามแนวทางดังนี้

  • แจ้งนายจ้างทันที เมื่อต้องลากิจ และระบุเหตุผลชัดเจน เช่น การดูแลมารดาที่ป่วยหนัก

  • เก็บหลักฐานทุกขั้นตอน เช่น การแจ้งลา เอกสารทางการแพทย์ หรือการสื่อสารกับนายจ้าง

  • ตรวจสอบข้อบังคับการลา ของสถานที่ทำงาน เพื่อให้แน่ใจว่าปฏิบัติตามเงื่อนไข

  • เจรจากับนายจ้าง หากจำเป็นต้องลาเกินสิทธิ อาจขอใช้วันลาพักร้อนหรือลาโดยไม่รับค่าจ้างแทน เพื่อรักษาความสัมพันธ์ที่ดี

 

          กรณีที่ลูกจ้างลากิจ 1 สัปดาห์เพื่อดูแลมารดาที่ประสบอุบัติเหตุ แม้จะเกินสิทธิลากิจ 3 วัน ถือเป็น เหตุอันสมควร ตามกฎหมายและจารีตสังคมไทย นายจ้างที่เลิกจ้างโดยอ้างว่าละทิ้งหน้าที่อาจต้องรับผิดชอบจ่าย ค่าชดเชย หรือเผชิญข้อหา เลิกจ้างไม่เป็นธรรม ลูกจ้างที่ได้รับผลกระทบสามารถดำเนินการทางกฎหมายผ่านสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานหรือศาลแรงงานได้ โดยต้องรวบรวมหลักฐานและปฏิบัติตามขั้นตอนอย่างรอบคอบ การสื่อสารและการเจรจาที่ดีจะช่วยป้องกันข้อพิพาทและรักษาความสัมพันธ์ในการทำงานให้ยั่งยืน

 

ที่มา คลินิคกฎหมายแรงงาน