ในกรณีที่บริษัทปิดตัวลงแล้วมีการโยกย้ายพนักงานไปทำงานกับนายจ้างใหม่ แต่ลูกจ้างไม่ยินยอมที่จะไปทำงานต่อกับนายจ้างใหม่ สถานการณ์นี้ถือเป็น "การเลิกจ้าง" โดยปริยาย นายจ้างต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้างตามที่กฎหมายกำหนด
ถ้าการปิดบริษัทเกิดจาก "เหตุจำเป็นทางธุรกิจ" เช่น ล้มละลาย หรือขาดทุนหนัก และลูกจ้างยอมรับการโอนย้ายไปนายจ้างใหม่ สัญญาจ้างอาจต่อเนื่องได้โดยไม่ถือเป็นการเลิกจ้าง แต่ถ้าลูกจ้างปฏิเสธ บริษัทเดิมยังคงต้องรับผิดชอบค่าชดเชยตามกฎหมาย
เหตุผลและหลักกฎหมาย
-
การปิดบริษัท = สิ้นสุดสัญญาจ้าง
เมื่อบริษัทปิดตัวลง สัญญาจ้างงานระหว่างนายจ้างเดิม (บริษัทที่ปิด) กับลูกจ้างย่อมสิ้นสุดลง การที่นายจ้างพยายามโอนย้ายลูกจ้างไปยังนายจ้างใหม่ ถือเป็นการเสนอเงื่อนไขใหม่ ซึ่งลูกจ้างมีสิทธิ์เลือกว่าจะยอมรับหรือไม่ เพราะสัญญาจ้างเป็นข้อตกลงระหว่างสองฝ่าย (นายจ้างและลูกจ้าง) ไม่ใช่สิ่งที่นายจ้างจะบังคับฝ่ายเดียวได้
-
ลูกจ้างไม่ยินยอม = การเลิกจ้าง
หากลูกจ้างไม่ยินยอมไปทำงานกับนายจ้างใหม่ ถือว่านายจ้างเดิม "เลิกจ้าง" ลูกจ้าง ตามมาตรา 118 ของ พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน 2541 ซึ่งกำหนดว่านายจ้างต้องจ่ายค่าชดเชยให้ลูกจ้างเมื่อเลิกจ้าง โดยไม่มีเหตุอันสมควร เช่น ไม่ใช่การเลิกจ้างเพราะลูกจ้างทำผิดร้ายแรง
-
ค่าชดเชยที่ต้องจ่าย
ค่าชดเชยขึ้นอยู่กับอายุงานของลูกจ้าง ดังนี้
- ทำงานครบ 120 วัน แต่ไม่ถึง 1 ปี ได้ค่าชดเชย 30 วัน
- ทำงานครบ 1 ปี แต่ไม่ถึง 3 ปี ได้ค่าชดเชย 90 วัน
- ทำงานครบ 3 ปี แต่ไม่ถึง 6 ปี ได้ค่าชดเชย 180 วัน
- ทำงานครบ 6 ปี แต่ไม่ถึง 10 ปี ได้ค่าชดเชย 240 วัน
- ทำงานครบ 10 ปีขึ้นไป ได้ค่าชดเชย 300 วัน
(คำนวณจากค่าจ้างอัตราสุดท้าย)
นอกจากนี้ ยังต้องจ่าย
ตามกฎหมายค่าชดเชยจ่ายวันที่เลิกจ้างและไม่สามารถผ่อนค่าชดเชยเป็นงวด ๆ ได้ ไม่งั้นนายจ้างต้องจ่ายดอกเบี้ยในส่วนที่ค้างจ่ายค่าชดเชย ร้อยละ 15 ต่อปี เว้นแต่ทั้งสองฝ่ายทำข้อตก ลูกจ้างยินยอมให้ผ่อนก็สามารถทำได้ กล่าวคือ กรณีลูกจ้างทำข้อตกลงโดยในข้อตกลงมีข้อความว่าลูกจ้างยินยอมผ่อนจ่ายค่าชดเชยก็สามารถทำได้ เพราะการตกลงผ่อนจ่ายไม่ใช่ข้อตกลงว่าไม่จ่าย และหากตกลงผ่อนชำระแล้วไม่ชำระตามที่ตกลงกันลูกจ้างก็มีสิทธิฟ้องเรียกค่าชดเชยนั้นได้
ที่มา คลินิกกฎหมายแรงงาน