e-Commerce ซื้อขายปลอดภัย ไม่โดนลวง

อีคอมเมิร์ซ หรือ e-Commerce เป็นทั้งเทรนด์ธุรกิจโลกและธุรกิจไทย จากตัวเลขที่เติบโต ทั้งผู้ใช้อินเทอร์เน็ตและผู้หันมาชอปทางออนไลน์ เพราะความสะดวก รวดเร็ว มีแอปพลิเคชันต่างๆ ที่ออกแบบมาให้ใช้งานง่ายและหลากหลาย แค่เปิดมือถือกดๆ จิ้มๆ เลือกสินค้า โอนเงินแล้วนั่งรอรับของที่บ้าน จึงเป็นที่นิยมอย่างมากในยุคนี้


การเปิดร้านค้าออนไลน์ก็ทำได้ง่าย ลงทุนน้อย ไม่ต้องเช่าตึกเปิดร้าน ไม่ต้องเก็บสต๊อกสินค้าครั้งละมากๆ ไม่ต้องมีพนักงานขายนั่งเฝ้าหน้าร้าน เพียงถ่ายภาพสินค้าติดราคาแล้วนำลงบนเว็บไซต์หรือเฟซบุ๊ก ก็สามารถขายสินค้าได้แล้ว ธุรกิจหลากหลายทั้งรายใหญ่และรายย่อยต่างก็มองเห็นกลุ่มผู้ใช้งานออนไลน์ขนาดใหญ่เป็นลูกค้า จึงหันมาทำการตลาดและเปิดร้านค้าออนไลน์ แต่ด้วยความสะดวกและง่ายเหล่านี้เอง ผู้ซื้อและผู้ขายจึงมีความเสี่ยงที่จะถูกหลอกหรือโกงด้วยวิธีการต่าง ๆ ทั้ง 2 ฝ่ายจึงต้องมีความรอบคอบระมัดระวังในการให้และใช้บริการซื้อขายสินค้าออนไลน์

อีคอมเมิร์ซเติบโตขึ้น ความเสี่ยงของการซื้อขายออนไลน์ก็อาจสูงตามขึ้นด้วย

  • การซื้อของแล้วไม่ได้ของ คุณภาพของต่ำกว่าที่โฆษณาเอาไว้ ของไม่ตรงกับที่สั่ง เก่าเสื่อมสภาพ ฯลฯ
  • ผู้ขายเสี่ยงที่จะไม่ได้รับเงิน หากเป็นมิจฉาชีพตั้งใจมาหลอกลวงเอาของฟรี ๆ หรือลูกค้าปฏิเสธการรับสินค้ากรณีจ่ายเงินปลายทาง หรือถูกเรียกร้องค่าเสียหายต่าง ๆ
  • ความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูลทางการเงิน ข้อมูลในบัตรเครดิตหรือบัญชีธนาคาร
  • ทั้งผู้ขายและผู้ซื้อต่างมีความเสี่ยงที่ข้อมูลส่วนตัวจะถูกเปิดเผยออกไป และอาจถูกมิจฉาชีพนำไปใช้ในทางที่เสียหาย นำไปหลอกลวงผู้อื่น
  • การถูกรบกวนจากข้อความหรือโฆษณาต่าง ๆ ที่เรียกว่าสแปม (spam) 

ตรวจเช็คให้รอบคอบก่อนการซื้อ-ขาย ช่วยลดความเสี่ยง

สำหรับผู้ซื้อ

  • พ่อค้าแม่ค่าน่าเชื่อถือไหม
  • หากมีหน้าร้านจริง ๆ ด้วย ก็จะลดความเสี่ยงลงได้
  • ควรตรวจสอบเงื่อนไขของสินค้า
  • สงสัยไว้ก่อน
  • ห้ามโพสต์แจ้ง ข้อมูลส่วนตัว ลงบนพื้นที่ออนไลน์สาธารณะ

สำหรับผู้ขาย

  • ควรตรวจสอบประวัติผู้ซื้อ
  • ไม่แจ้งข้อมูลส่วนบุคคล
  • ให้ผู้ซื้อจ่ายเงินค่าสินค้า/บริการ หรือเก็บเงินมัดจำ ก่อนส่งสินค้า
  • ควรแสดงรายละเอียดสินค้า และเงื่อนไขความรับผิดชอบให้ครบถ้วน
  • ดูแลข้อมูลส่วนบุคลของลูกค้าไม่ให้รั่วไกล

กรณีซื้อขายมีปัญหาทำไงดี

กรณีซื้อของแล้วได้ของไม่ตรงตามที่ตกลงซื้อ ผู้ซื้อมักจะเจรจาโดยตรงกับผู้ขายในการขอคืน/เปลี่ยนของ หรือขอคืนเงิน ซึ่งอาจจะใช้เวลานาน ทำให้ผู้ซื้อหลายคนละเลยที่จะตามเรื่องจึงยอมเสียเงินแบบไม่คุ้มค่า ในกรณีเช่นนี้ ผู้ซื้อสามารถจะเข้าไปให้คะแนนร้านค้า/ผู้ขาย หรือรีวิวสินค้า เขียนความคิดเห็นที่ร้านค้า เพื่อช่วยให้ผู้ซื้อรายอื่นพิจารณาร้านค้า/ผู้ขายดังกล่าวก่อนตัดสินใจใช้บริการ แต่หากเป็นการโอนเงินไปแล้วไม่ได้รับของ ถือเป็นการฉ้อโกง ซึ่งเป็นความผิดตามกฎหมาย ผู้ซื้อควรดำเนินการตามขั้นตอนต่อไปนี้


1.เก็บหลักฐานต่างๆเช่น

  • รูปและชื่อโปรไฟล์ของร้านค้าหรือผู้ขาย หน้าประกาศขายสินค้า หากเป็นเว็บไซต์ให้เก็บ URL (ที่อยู่เว็บไซต์)
  • ชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ของร้านค้าหรือผู้ขาย
  • เลขที่บัญชีของผู้ขายที่ให้โอนเงินชำระค่าสินค้า
  • ภาพหน้าจอข้อความพูดคุยที่แสดงถึงการตกลงซื้อขาย เช่น ภาพตัวอย่างสินค้า ข้อความโฆษณา ราคาสินค้า การต่อรอง การรับประกัน การโอนเงินต่างๆ ไม่ว่าจะทางอีเมล ข้อความส่วนตัว ไลน์ หรือช่องทางอื่น ๆ
  • หลักฐานการโอนเงินค่าสินค้า

 

2.นำหลักฐานตามข้อ 1 พร้อมทั้งสมุดบัญชีธนาคารและบัตรประจำตัวประชาชนไปแจ้งความที่สถานีตำรวจใกล้บ้าน โดยระบุขอให้ดำเนินคดีให้ถึงที่สุด


3.อาจสืบหาข้อมูลเพิ่มเติมของร้านค้า/ผู้ขาย จากเลขที่บัญชี โดยนำเลขที่บัญชีของร้านค้าหรือผู้ขาย พร้อมใบแจ้งความและหลักฐานการโอนเงินไปยังธนาคาร แล้วทำเรื่องขอรายละเอียดของเจ้าของบัญชีดังกล่าว ยื่นเรื่องขอเงินคืน หรืออายัดบัญชี แต่บางครั้ง เลขที่บัญชีที่โอนเงินค่าสินค้าไปให้ อาจจะไม่ใช่ของมิจฉาชีพที่แท้จริง เพราะเจ้าของบัญชีอาจโดนนำบัตรประชาชนไปสวมรอยเปิดบัญชีหลอกขายสินค้า ก็เป็นไปได้เช่นกัน อีกประการหนึ่งคนร้ายมักจะรีบถอนเงินออกไปทันที ทำให้มักไม่ได้เงินคืนจากธนาคาร
 

การติดตามตัวคนร้ายออนไลน์นั้นใช้เวลาค่อนข้างมากและไม่ได้ง่ายดายนัก หากจับตัวได้แล้วคนร้ายยอมคืนเงินให้ก็ถือว่าโชคดี มิเช่นนั้นต้องขึ้นโรงขึ้นศาลรอจนศาลตัดสินจึงมีโอกาสได้เงินคืน ดังนั้น ควรรอบคอบ ตรวจสอบให้มั่นใจก่อนซื้อ-ขายออนไลน์ตามคำแนะนำข้างต้น ก็จะช่วยป้องกันให้เราไม่ตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพทางออนไลน์ได้ดีที่สุด
 

ที่มา www.etda.or.th