รวมไอเดีย การลดต้นทุน ลดค่าใช้จ่าย สำหรับทุกองค์กรในทุกช่วงเศรษฐกิจ

ไม่ว่าเศรษฐกิจแบบไหน การสร้างผลกำไรให้กับบริษัทอย่างมีธรรมาภิบาล และมอบคุณค่าที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ก็ยังคงเป็นเป้าหมายหลักของทุกองค์กร ซึ่งวิธีหนึ่งที่ทำให้ผลกำไรมากขึ้นคือ “การลดต้นทุน”

1. การลดต้นทุนแรงงาน

การเพิ่มศักยภาพแรงงานนับเป็นการลดต้นทุนได้อย่างหนึ่ง เพราะแรงงาน (จำนวนคน) ที่มีเท่าเดิมสามารถสร้างผลงานได้มากขึ้น ส่วนใหญ่มักเป็นเรื่องของประสบการณ์ ความรู้เป็นสำคัญ

1.1 การบริหารเวลาอย่างมีประสิทธิภาพ

เวลาก็คือเงินเช่นกัน ทุกวินาทีของเวลาที่เสียไปโดยเปล่าประโยชน์ย่อมก่อให้เกิดการเสียเงินโดยเปล่าประโยชน์ด้วย และการบริหารเวลาอย่างมีประสิทธิภาพนั้นเป็นทักษะที่พนักงานทุกคนควรมี พนักงานควรรู้ว่าต้องทำอะไรก่อน-หลัง หรือหากเป็นช่วงที่มีเวลาว่างก็ควรใช้เวลาว่างให้เกิดประสิทธิภาพด้วยการซัพพอร์ตงานส่วนอื่นที่กำลังยุ่งอยู่ แต่การที่พนักงานจะสามารถซัพพอร์ตงานส่วนอื่นได้นั้นจำเป็นจะต้องมีทักษะในการทำงานส่วนอื่นที่นอกเหนือจากความรับผิดชอบหลักของตนเองด้วย แต่การจะทำแบบนั้นได้จะต้องมีการแชร์ขั้นตอนการทำงานของทุกๆ ส่วนให้พนักงานทุกฝ่ายสามารถเข้าถึงได้อย่างง่ายดาย เพื่อจะได้มีทักษะในการซัพพอร์ตงานทุกแผนกอย่างทันท่วงทีในเวลาที่ต้องการ 

1.2 ใช้ฟรีแลนซ์สำหรับงานที่ไม่ใช่งานหลักของธุรกิจ

ฟรีแลนซ์ นับเป็นทางเลือกที่ดีทางหนึ่งสำหรับงานที่ไม่ใช่งานหลักของธุรกิจ เพราะไม่จำเป็นต้องลงทุนมาก ไม่ต้องมีสวัสดิการ ไม่ต้องมีประกันสังคม ไม่ต้องมีกระบวนการฝึกอบรม แถมยังมีความเชี่ยวชาญในด้านนั้น ๆ มากเสียด้วย ตัวอย่างเช่น องค์กรที่ทำธุรกิจการขายอาหาร เครื่องดื่ม โดยมีรายได้จากหน้าร้านเป็นหลัก การหาฟรีแลนซ์มาช่วยในการทำกราฟฟิกสร้างเมนู การจัดการเว็บไซต์ ก็เป็นตัวเลือกที่ดีกว่าการหาพนักงานประจำมาสร้างเป็นแผนกไอทีใหม่ ลดต้นทุนด้านแรงงานที่ไม่ใช่แกนหลักของธุรกิจได้ด้วย

1.3 ลดต้นทุนด้านการประชุม

การประชุมที่มีผู้เข้าร่วมประชุมมากเกินไป (เช่น มากกว่า 10 คน) ทำให้ประสิทธิภาพในการประชุมลดลง หรือเป็นการใช้ทรัพยากรด้านแรงงานที่ไม่คุ้มค่า เพราะในบรรดาผู้เข้าร่วมประชุมมีเพียงไม่กี่คนที่เป็นคนตัดสินใจจริง ๆ นอกจากนั้นยังมีไอเดียที่ควรนำมาปรับใช้อย่างสม่ำเสมอเพื่อลดต้นทุนด้านการประชุมได้

รณรงค์ให้ประชุมผ่านออนไลน์: การประชุมที่จัดขึ้นทุกสัปดาห์หรือทุกเดือน หรือการประชุมที่ไม่ได้เป็นการตกลงเซ็นสัญญาโครงการใหญ่ ๆ สามารถประชุมเพื่ออัปเดตข่าวสาร บอกให้ทราบสถานะปัจจุบัน และสิ่งที่ต้องทำต่อไปผ่านการประชุมออนไลน์ได้ เพื่อลดการเดินทางที่ใช้เวลามากกว่าและบางครั้งต้องมีค่าเดินทางด้วย

กำหนดนโยบายการจัดประชุม: จำนวนครั้ง และเวลาในการจัดการประชุม ควรมีการจดบันทึกที่แน่นอน ว่ามีสมาชิกกี่คนเข้าร่วม เวลาในการประชุมถูกใช้ไปเท่าไร เมื่อครบหนึ่งสัปดาห์หรือหนึ่งเดือน ลองนำมาเปรียบเทียบและดูว่า เวลาเฉลี่ยและจำนวนครั้งที่เหมาะสมขององค์กรควรเป็นเท่าไร และกำหนดเป็นนโยบาย เชื่อได้เลยว่า หากกำหนดออกมาแล้ว การประชุมจะไม่เยิ่นเย้อ และไม่มากเกินไปจนไม่มีเวลาทำงานส่วนตัวแน่ ๆ

1.4 ลงทุนกับพนักงานที่เป็นงานหลักของธุรกิจ

พนักงานสำหรับงานหลักในที่นี้หมายถึง พนักงานทุกคนที่ไม่อาจจ้างฟรีแลนซ์มาทำได้ การลงทุนเพื่อลดต้นทุนในระยะยาวคือ การเพิ่มขีดความสามารถของพนักงาน หรือส่งเสริมให้พนักงานมีทักษะเพิ่มขึ้นนั่นเอง เช่น การฝึกอบรมพนักงานอยู่เสมอ การบริการจัดการองค์ความรู้ขององค์กรให้พนักงานสามารถเข้าถึงได้โดยง่าย การสนับสนุนให้พนักงานตระหนักด้านการพัฒนาทักษะของตนเองอยู่เสมอ หรือการวางนโยบายให้พนักงานสามารถแชร์องค์ความรู้ของบุคคลให้เป็นองค์ความรู้ขององค์กร เพื่อให้บุคคลอื่นในบริษัทสามารถเรียนรู้ต่อได้ เป็นต้น

2. การลดต้นทุนทางการตลาด

การใช้งบประมารณทางการตลาดเป็นเรื่องที่สำคัญ แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือทำอย่างไรให้งบประมาณที่ใช้ไปนั้นเกิดประโยชน์สูงสุด ผลลัพธ์ที่ได้เท่ากันจากจำนวนเงินน้อยกว่าก็คือการลดต้นทุนทางการตลาดอย่างหนึ่ง

2.1 ลดต้นทุนโดยใช้ประโยชน์จากการโฆษณาผ่านสื่อสังคมออนไลน์

การโฆษณาผ่านสื่อสังคมออนไลน์เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมาใหม่เมื่อเทียบกับเมื่อสิบกว่าปีก่อน ปกติการลงทุนกับโฆษณามักมีค่าใช้จ่ายสูง เช่น การโฆษณาทางโทรทัศน์ หรือแผ่นป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ มีค่าใช้จ่ายที่แน่นอนในแต่ละช่วงเวลา

ปัจจุบันหากเราหันมาใช้ประโยชน์จากการโฆษณาผ่านสื่อสังคมออนไลน์ จะทำให้เราลดต้นทุนของค่าโฆษณาได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากแนวคิดของการคำนวณต้นทุนค่าโฆษณาผ่านสื่อสังคมออนไลน์วัดจากต้นทุนต่อการคลิก (Cost Per Click หรือ CPC) ยิ่งเราเข้าใจกลไกของการใช้งานสื่อสังคมออนไลน์มากเท่าไร ก็จะทำให้ต้นทุนต่อการคลิกลดลงมากขึ้นเท่านั้น นั่นคือจำนวนงบประมาณเท่าเดิมแต่เข้าถึงผู้คนได้มากขึ้น การลดต้นทุนแบบนี้เริ่มมีบทบาทมากขึ้นในปัจจุบัน

2.2 ลดต้นทุนโดยใช้ประโยชน์จากตลาดแบบปากต่อปาก (Word of mouth marketing)

การตลาดแบบปากต่อปากเป็นเครื่องมือที่ดีอย่างหนึ่งในการลดต้นทุนการสื่อสารของแบรนด์หรือองค์กรไปยังลูกค้า เพราะมีลูกค้ากลุ่มหนึ่งที่เราได้มอบคุณค่าที่ดีให้และมีความภักดีต่อแบรนด์เป็นดั่งองครักษ์ที่คอยบอกต่อเรื่องราวดี ๆ ต่าง ๆ ของแบรนด์หรือองค์กรไปยังลูกค้าคนต่อ ๆ ไป โดยที่ไม่ต้องเสียงบประมาณในการโฆษณาเพิ่มเติม การสรรหาไอเดียเพื่อการตลาดแบบปากต่อปากก็ทำให้ต้นทุนทางการตลาดลดลงไปได้ ไอเดียในการหันมาใช้การตลาดแบบปากต่อปาก เช่น

  • การให้ลูกค้าได้สร้างเนื้อหาของตัวเองบนสินค้าหรือบริการของเรา การให้ลูกค้ามีส่วนร่วมในการสร้างแฮชแท็กขององค์กรเรา การแชร์เรื่องราวดี ๆ ของลูกค้าที่เกี่ยวพันกับองค์กรของเรา

  • การให้ลูกค้าบอกต่อถึงสินค้าหรือบริการขององค์กร ท้ายที่สุดคือให้ลูกค้าได้ชักชวนเพื่อน ๆ มาซื้อสินค้าหรือบริการขององค์กรโดยมีผลตอบแทนให้กับผู้เชิญชวน

  • การให้ลูกค้าได้รีวิวสินค้าหรือบริการขององค์กร หากสินค้าหรือบริการนั้นดีจริง มีความน่าเชื่อถือ ลูกค้าจะเป็นผู้นำส่งคุณค่าดี ๆ เหล่านี้ไปยังคนอื่น ๆ ต่อไป

 

ที่มา teachme-biz.com