ถ้าบริษัทมีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพอยู่แล้ว จำเป็นต้องมีกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างไหม

น้องบีพลัสจะพามาทำความเข้าใจ ความแตกต่างระหว่าง กองทุนสำรองเลี้ยงชีพและกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง

  1. กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (Provident Fund)

    • เป็นกองทุนที่นายจ้างและลูกจ้างสมทบเงินร่วมกันเพื่อเป็นเงินออมสำหรับลูกจ้างในระยะยาว เช่น ใช้เมื่อเกษียณอายุ ลาออก หรือในกรณีที่กำหนดในข้อบังคับของกองทุน

    • การจัดตั้งกองทุนนี้เป็นความสมัครใจของนายจ้าง ไม่ใช่ข้อบังคับตามกฎหมาย

    • บริหารโดยบริษัทจัดการกองทุนที่ได้รับอนุญาตตาม พระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ. 2530

    • อัตราการสมทบเงินขึ้นอยู่กับข้อตกลงระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง โดยทั่วไปอยู่ที่ 2-15% ของค่าจ้าง

    • ลูกจ้างที่เข้าร่วมกองทุนจะได้รับผลประโยชน์จากเงินสมทบของตนเองและนายจ้าง รวมถึงผลตอบแทนจากการลงทุนของกองทุน

  2. กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง (Employee Welfare Fund)

    • เป็นกองทุนที่จัดตั้งขึ้นตาม พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 เพื่อช่วยเหลือลูกจ้างที่ได้รับความเดือดร้อนเมื่อนายจ้างไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย เช่น ไม่จ่ายค่าชดเชยเมื่อเลิกจ้าง หรือค้างจ่ายค่าจ้าง

    • การสมทบเงินเข้ากองทุนนี้เป็นหน้าที่บังคับสำหรับนายจ้างในกิจการที่มีพนักงานตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป และไม่มีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ

    • บริหารโดย กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กระทรวงแรงงาน

    • เงินสมทบคำนวณจากค่าจ้างของลูกจ้าง โดยนายจ้างและลูกจ้างสมทบในอัตราเท่ากัน (ตามที่กำหนดในระเบียบ)

    • ใช้เพื่อจ่ายเงินสงเคราะห์เมื่อลูกจ้างยื่นขอในกรณีที่นายจ้างไม่จ่ายเงินตามคำสั่งของพนักงานตรวจแรงงาน

 

         หากบริษัทมีการจัดตั้งกองทุนสำรองเลี้ยงชีพแล้วพนักงานที่เข้าร่วมกองทุนนี้ ไม่จำเป็นต้องอยู่ในกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างอีก เนื่องจากถือว่าบริษัทได้จัดสวัสดิการตามกฎหมายไว้เรียบร้อยแล้ว แต่อย่างไรก็ตาม สำหรับพนักงานที่ยังไม่ได้เข้าร่วมกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เช่น พนักงานที่ยังอยู่ในช่วงทดลองงาน หรือยังไม่ผ่านเงื่อนไขการสมัคร บริษัทยังคงมีหน้าที่นำส่งเงินเข้ากองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง ตั้งแต่วันที่เริ่มจ่ายค่าจ้าง เมื่อพนักงานผ่านการทดลองงาน และสมัครเข้าร่วมกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเรียบร้อยแล้ว บริษัทจึงสามารถแจ้งขอหยุดการนำส่งเงินเข้ากองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างได้