ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ไม่ได้มีบทบัญญัติกำหนดให้ลูกจ้างหญิงต้องแจ้งให้นายจ้างทราบว่าตนตั้งครรภ์ แต่นายจ้างมีหน้าที่ปฏิบัติตามกฎหมายคุ้มครองงานฯ ต่อลูกจ้างหญิงมีครรภ์เป็นพิเศษ นายจ้างจึงมีสิทธิที่จะรู้ว่าลูกจ้างหญิงนั้นมีครรภ์หรือไม่ โดยเมื่อลูกจ้างเริ่มตั้งครรภ์ควรแจ้งให้นายจ้างทราบ หากลูกจ้างไม่แจ้งให้นายจ้างทราบ นายจ้างย่อมไม่อาจล่วงรู้ถึงสภาวะการตั้งครรภ์ของลูกจ้างได้ เช่นนี้ถือได้ว่านายจ้างไม่ได้มีเจตนาหลีกเลี่ยงกฎหมาย
นายจ้างมีหน้าที่ปฏิบัติตามกฎหมาย แม้ลูกจ้างไม่แจ้งการตั้งครรภ์
-
ตาม มาตรา 39/1 ห้ามนายจ้างให้ลูกจ้างหญิงที่ตั้งครรภ์ทำงานล่วงเวลา โดยกฎหมายไม่ได้กำหนดว่าลูกจ้างต้องแจ้งนายจ้างถึงการตั้งครรภ์ก่อน ดังนั้น ภาระหน้าที่ในการปฏิบัติตามกฎหมายตกอยู่ที่นายจ้าง
-
อย่างไรก็ตาม ในทางปฏิบัติ หากลูกจ้างไม่แจ้งและนายจ้างไม่มีทางรู้ได้ (เช่น ครรภ์ยังไม่ชัดเจน) การพิสูจน์ "เจตนา" ของนายจ้างอาจเป็นประเด็นในชั้นศาล
กรณีที่นายจ้างไม่ทราบว่าลูกจ้างตั้งครรภ์
-
ไม่มีเจตนากระทำผิด หากลูกจ้างไม่แจ้ง และไม่มีหลักฐานว่านายจ้างควรรู้ (เช่น ครรภ์ไม่ใหญ่ชัดเจน หรือลูกจ้างไม่เคยใช้สิทธิเกี่ยวกับการตั้งครรภ์) นายจ้างอาจต่อสู้ในศาลได้ว่าไม่มีเจตนาละเมิดกฎหมาย ซึ่งอาจช่วยลดหย่อนโทษได้
-
แต่ยังมีความผิดในทางเทคนิค เนื่องจากมาตรา 39/1 เป็นกฎหมายที่บังคับใช้แบบเด็ดขาด (Strict Liability) การไม่รู้ไม่ใช่ข้อแก้ตัวที่ยกเว้นความผิดได้ทั้งหมด ดังนั้น นายจ้างอาจยังถูกลงโทษปรับตาม มาตรา 149 (ปรับไม่เกิน 20,000 บาท) แต่ศาลอาจพิจารณาความสุจริตเป็นเหตุบรรเทาโทษ
-
กรณีครรภ์ชัดเจนหรือเคยใช้สิทธิ ถ้าลูกจ้างครรภ์ใหญ่เห็นได้ชัด หรือเคยแจ้งใช้สิทธิ เช่น ขอลางานฝากครรภ์ นายจ้างจะอ้างว่าไม่รู้ไม่ได้ เพราะถือว่านายจ้างมีหน้าที่สังเกตหรือสอบถาม
กรณีลูกจ้างทำงานล่วงเวลาไปแล้ว และการจ่ายค่าล่วงเวลา
-
นายจ้างต้องจ่ายค่าล่วงเวลา: หากลูกจ้างทำงานล่วงเวลาไปแล้ว ไม่ว่านายจ้างจะรู้หรือไม่รู้ว่าตั้งครรภ์ นายจ้างมีหน้าที่จ่ายค่าจ้างล่วงเวลาตาม มาตรา 61 (ค่าล่วงเวลาไม่น้อยกว่า 1.5 เท่าของค่าจ้างปกติ) เพราะการทำงานได้เกิดขึ้นจริงแล้ว การอ้างว่าไม่รู้ถึงการตั้งครรภ์ไม่สามารถยกเลิกภาระการจ่ายค่าจ้างได้
-
หลังทราบแล้ว: เมื่อนายจ้างทราบว่าลูกจ้างตั้งครรภ์ ต้องหยุดให้ทำงานล่วงเวลาทันทีตามกฎหมาย เพื่อป้องกันการฝ่าฝืนต่อไป
สรุป
-
มีความผิดหรือไม่ ถ้านายจ้างไม่รู้และไม่มีเจตนา อาจยังมีความผิดในทางเทคนิคตามกฎหมาย แต่สามารถยกเรื่อง "ความสุจริต" มาสู้คดีได้ โดยเฉพาะถ้าลูกจ้างไม่แจ้งและครรภ์ไม่ชัดเจน อย่างไรก็ตาม ศาลมักตีความเพื่อคุ้มครองลูกจ้างเป็นหลัก
-
การจ่ายค่าล่วงเวลา ต้องจ่ายตามที่ลูกจ้างทำงานไปแล้ว ไม่สามารถยกเลิกการจ่ายได้ หลังจากนั้นต้องปฏิบัติตามกฎหมายโดยห้ามให้ทำงานล่วงเวลาต่อ
-
คำแนะนำในทางปฏิบัติ นายจ้างควรมีระบบให้ลูกจ้างแจ้งสถานะการตั้งครรภ์ (แม้ไม่ใช่หน้าที่ตามกฎหมาย) เพื่อป้องกันปัญหา ส่วนลูกจ้างควรแจ้งเพื่อรับสิทธิคุ้มครองเต็มที่
ที่มา คลินิกกฎหมายแรงงาน