การตั้งราคาสินค้าไม่ใช่แค่การคำนวณต้นทุนและกำไร แต่ยังเกี่ยวข้องกับจิตวิทยาของผู้บริโภค ที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อ โดยใช้หลักการทางจิตวิทยา เราสามารถทำให้สินค้าดูน่าสนใจและขายได้มากขึ้น โดยไม่ต้องลดราคา มาดูเทคนิคสำคัญที่ช่วยให้คุณตั้งราคาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
1. ใช้เทคนิค "ราคาจิตวิทยา" (Psychological Pricing)
การตั้งราคาลงท้ายด้วยเลข 9, 7 หรือ 5 เช่น 99, 199, 495 บาท เป็นกลยุทธ์ทางจิตวิทยาที่ทำให้สินค้าดูถูกและน่าสนใจมากขึ้น แม้จะต่างจากเลขกลมๆ เพียงเล็กน้อย เพราะสมองมนุษย์มักโฟกัสที่ตัวเลขหน้าแรกและรู้สึกว่าราคาถูกกว่า เทคนิคนี้ช่วยกระตุ้นการตัดสินใจซื้อโดยสร้างภาพลักษณ์ของความคุ้มค่าและข้อเสนอที่ดีให้กับลูกค้า
ตัวอย่าง:
- 100 บาท vs 99 บาท → ดูเหมือนถูกกว่าแม้ต่างแค่ 1 บาท
- 500 บาท vs 497 บาท → รู้สึกว่าประหยัดมากขึ้น
2. ใช้หลัก "การเปรียบเทียบ" (Anchoring Effect)
มนุษย์มักประเมินค่าสิ่งต่างๆ โดยเปรียบเทียบกับทางเลือกใกล้เคียง ทำให้การวางสินค้าราคาสูงไว้ข้างๆ สินค้าราคาปกติสามารถสร้าง "จุดอ้างอิง" ที่ทำให้ราคาปกติดูน่าซื้อและสมเหตุสมผลขึ้นอย่างน่าประหลาดใจ กลยุทธ์นี้ใช้หลักจิตวิทยาเรื่องการเปรียบเทียบแบบสัมพัทธ์ (relative comparison) โดยที่สมองจะโฟกัสไปที่ความแตกต่างของราคา แทนที่จะพิจารณามูลค่าที่แท้จริงของสินค้าแต่ละชิ้น เมื่อเห็นทางเลือกราคาสูงไว้ใกล้กัน ราคาปกติที่เดิมอาจดูธรรมดากลับกลายเป็นตัวเลือกที่ดูคุ้มค่าและน่าสนใจในทันที ส่งผลให้ลูกค้ามีแนวโน้มตัดสินใจซื้อได้รวดเร็วขึ้นโดยไม่รู้ตัว
ตัวอย่าง:
- แสดงราคาเดิม 1,500 บาท ลดเหลือ 990 บาท → ลูกค้ารู้สึกว่าได้ส่วนลดมาก
- วางสินค้าราคาสูงไว้ข้างสินค้าหลัก → ทำให้สินค้าหลักดูคุ้มค่ากว่า
3. เสนอตัวเลือกหลายระดับ (Decoy Pricing)
การใช้ตัวเลือกล่อ (Decoy Pricing) เช่น การเสนอขนาดกลางในราคาใกล้เคียงกับขนาดใหญ่ ช่วยให้ลูกค้าเห็นว่าขนาดใหญ่คุ้มค่ากว่า ทำให้ยอดขายสินค้าหลักพุ่งสูงขึ้น โดยอาศัยหลักจิตวิทยาที่มนุษย์ชอบตัดสินใจแบบเปรียบเทียบ แม้ตัวเลือกล่ออาจไม่มีความจำเป็นจริงๆ ในตลาดก็ตาม
ตัวอย่าง:
- แบบเล็ก: 100 บาท
- แบบกลาง: 180 บาท (ขายดีที่สุด)
- แบบใหญ่: 200 บาท → ทำให้แบบกลางดูคุ้มค่า
4. เน้นคุณค่าแทนราคา (Value-Based Pricing)
กลยุทธ์ Value-Based Pricing โฟกัสที่การสื่อสาร "คุณค่า" ของสินค้าแทนราคา โดยชี้ให้ลูกค้าเห็นประโยชน์ที่ได้รับ เช่น การแก้ปัญหาหรือความพึงพอใจเฉพาะทาง ทำให้ลูกค้ายินดีจ่ายแพงขึ้นเพราะมองว่าเป็นการลงทุน เมื่อคุณค่าสอดคล้องกับความต้องการ ราคาจะกลายเป็นปัจจัยรองทันที
ตัวอย่าง:
- ไม่ใช่ "ขายกาแฟแก้วละ 50 บาท"
- แต่เป็น "กาแฟพรีเมี่ยม อร่อยเหมือนร้าน Specialty เริ่มต้นเพียง 50 บาท"
5. แบ่งชำระให้ดูเบาลง (Payment Framing)
กลยุทธ์ Payment Framing ช่วยลดแรงต้านทางการเงินด้วยการแบ่งยอดชำระออกเป็นส่วนเล็กๆ เช่น "เพียงวันละ 10 บาท" แทนการระบุยอดรวม ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าจ่ายง่ายขึ้นแม้มูลค่าจริงเท่าเดิม เทคนิคนี้ใช้จิตวิทยาการรับรู้ด้วยการเน้นจำนวนที่จ่ายต่อครั้งแทนยอดรวม ช่วยเพิ่มอัตราการตัดสินใจซื้อโดยเฉพาะสินค้าราคาสูง
ตัวอย่าง:
6. ใช้คำว่า "ฟรี" หรือ "ของแถม" (Free Bonus Effect)
การใช้คำว่า "ฟรี" หรือ "ของแถม" สร้างแรงจูงใจในการซื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะสมองมนุษย์ตอบสนองต่อสิ่งได้มาฟรีอย่างแข็งขัน แม้ของแถมจะมีมูลค่าไม่สูง แต่กลับทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าตัวเลือกนั้นคุ้มค่าขึ้นทันที กลยุทธ์นี้ใช้ได้ผลเพราะกระตุ้นความรู้สึก "ได้เปรียบ" และลดการตั้งคำถามถึงราคาหลัก เช่น การเสนอ "แถมฟรี 1 ชิ้นเมื่อซื้อ 2 ชิ้น" ทำให้ลูกค้ามุ่งความสนใจไปที่ของฟรีมากกว่าการคำนวณราคารวม การใส่ของแถมยังสร้างประสบการณ์เชิงบวก ช่วยเพิ่มความพึงพอใจและโอกาสซื้อซ้ำ เนื่องจากลูกค้ารู้สึกว่าได้รับมากกว่าที่จ่ายไปจริงๆ
ตัวอย่าง:
- "ซื้อครีม 1 ตัว แถมมาสก์หน้า 1 ชิ้น"
- "ฟรีค่าจัดส่งเมื่อซื้อเกิน 500 บาท"
7. เทคนิค Bundle Pricing – ขายเป็นชุดคุ้มกว่า
กลยุทธ์ Bundle Pricing ช่วยเพิ่มมูลค่าการซื้อด้วยการรวมสินค้าหลายรายการเป็นชุดในราคาพิเศษ ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าได้ของมากขึ้นในราคาที่ประหยัดกว่าเมื่อเทียบกับการซื้อแยกชิ้น เทคนิคนี้ใช้ได้ผลเพราะตอบโจทย์จิตวิทยาการมองหา "ความคุ้มค่า" โดยเฉพาะเมื่อชุดสินค้ามีส่วนลดที่ชัดเจน หรือมีการรวมไอเทมที่ใช้งานร่วมกันได้ดี เช่น แพ็กเกจเครื่องสำอางชุดครบเซต
ตัวอย่าง:
- "ชุดครีมบำรุงผิว 3 ตัว ราคา 1,200 บาท (ปกติราคารวม 1,500 บาท)"
- "เซตอาหารเช้า + กาแฟ 99 บาท (ปกติแยกซื้อ 120 บาท)"
8. กระตุ้นให้รีบตัดสินใจด้วย "ข้อเสนอจำกัดเวลา" (Scarcity & Urgency)
กลยุทธ์นี้ใช้หลักจิตวิทยา Fear of Missing Out (FOMO) ที่คนมักตัดสินใจเร็วเมื่อรู้สึกว่าสิ่งของหรือข้อเสนอกำลังจะหมดไป โดยเฉพาะหากมีการนับถอยหลังหรือแสดงจำนวนสต็อกคงเหลือ
ตัวอย่าง:
- "โปรโมชันเฉพาะ 3 วันแรก!"
- "เหลือเพียง 5 ชิ้นเท่านั้น!"
- "สั่งซื้อภายในวันนี้ รับฟรีค่าจัดส่ง"
Bplus ERP ตัวช่วยให้ธุรกิจของคุณ "พร้อมแข่งขัน" และบริหารต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ทำไมต้องใช้ Bplus ERP ในการปรับราคา?
- ระบบที่รองรับกระบวนการจริง – ปรับราคาได้อัตโนมัติ แม่นยำ และมีข้อมูลประกอบการตัดสินใจ
- รายงานต้นทุนและราคาทันที – ช่วยให้เห็นการเปลี่ยนแปลงของราคาสินค้าแบบเรียลไทม์
- ปรับราคาได้หลายรูปแบบ – ตั้งค่าตามต้นทุน เงื่อนไขพิเศษ หรือเป็นกลุ่มได้ในครั้งเดียว
- ทดสอบก่อนบันทึกจริง – คำนวณผลกำไร/ขาดทุนก่อนปรับราคา ลดความเสี่ยง
- ตรวจสอบประวัติย้อนหลัง – รู้ว่าใครปรับราคา เมื่อไหร่ และปรับจากราคาไหนไปเป็นราคาไหน
Bplus ERP จัดการราคาสินค้าได้ง่ายขึ้น เร็วขึ้น แม่นยำขึ้น ลดข้อผิดพลาด เพิ่มกำไร ลดเวลาทำงานของพนักงาน
เขียนโดย AI