บาร์โค้ด: หัวใจสำคัญของธุรกิจ Modern Trade ที่คุณไม่ควรมองข้าม!

หากคุณเคยซื้อของตามห้างสรรพสินค้าหรือร้านสะดวกซื้อ คงสังเกตได้ว่าสินค้าทุกชิ้นจะมี สัญลักษณ์บาร์โค้ด (Barcode) ติดอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นของกิน ของใช้ ไปจนถึงเครื่องสำอางหรือผลิตภัณฑ์ความงามต่างๆ บาร์โค้ดเหล่านี้ไม่ได้มีไว้เพื่อแค่ "สแกนขาย" เท่านั้น แต่ยังเป็น กุญแจสำคัญในการยืนยันตัวตนของสินค้า และช่วยให้ระบบของ Modern Trade หรือธุรกิจค้าปลีกทำงานได้อย่างแม่นยำและเป็นระบบ

บาร์โค้ดคืออะไร?

บาร์โค้ด (Barcode) คือรหัสแท่งที่ใช้แทนข้อมูลของสินค้า เพื่อให้เครื่องสามารถอ่านและระบุข้อมูลนั้นได้อย่างแม่นยำ เช่น ชื่อสินค้า รหัสสินค้า ราคา หรือแม้แต่ล็อตผลิตและวันหมดอายุ การใช้บาร์โค้ดช่วยลดข้อผิดพลาดจากการป้อนข้อมูลด้วยมือ เพิ่มความเร็วในการรับสินค้า ตรวจนับ และขายออก อีกทั้งยังช่วยให้ระบบสต็อกและบัญชีทำงานต่อเนื่องกันได้อย่างราบรื่น
 

การขึ้นทะเบียนบาร์โค้ดกับ GS1

ก่อนที่จะนำบาร์โค้ดไปใช้งานจริง ผู้ประกอบการจำเป็นต้อง ขึ้นทะเบียนกับสถาบันรหัสสากล สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นตัวแทนขององค์กร GS1 ที่กำหนดมาตรฐานบาร์โค้ดระดับโลก ผู้ประกอบการที่ขึ้นทะเบียนจะได้รับ รหัสบริษัท เพื่อใช้สร้างเลขประจำตัวสินค้าแบบสากล ซึ่งประกอบด้วย:

  • GTIN-13 สำหรับสินค้าแบบขายปลีก (Retail)

  • GTIN-14 สำหรับสินค้าแบบขายส่ง/ลังบรรจุภัณฑ์ (Wholesale)

ตัวอย่างโครงสร้างรหัส GTIN-13 สำหรับบาร์โค้ดสินค้าขายปลีก

ตัวอย่างโครงสร้างรหัส GTIN-13 สำหรับบาร์โค้ดสินค้าขายปลีก
ตัวอย่างโครงสร้างรหัส GTIN-13 สำหรับบาร์โค้ดสินค้าขายปลีก

โครงสร้างของรหัส GTIN-13 แบ่งออกเป็น 4 ส่วนหลัก ดังนี้:

ส่วน ตำแหน่งหลัก รายละเอียด
A หลักที่ 1–3 รหัสประเทศสมาชิก — ตัวอย่าง: ประเทศไทยใช้รหัส 885
B หลักที่ 4–8 รหัสประจำตัวบริษัท — เช่น TNP Cosmeceutical
C หลักที่ 9–12 รหัสสินค้าขายปลีก — ผู้ประกอบการเป็นผู้กำหนด เช่น 0001 ถึง 9999
D หลักที่ 13 หมายเลขตรวจสอบ (Check Digit) ที่ได้จากการคำนวณทางคณิตศาสตร์ เพื่อยืนยันความถูกต้องของชุดรหัสทั้งหมด

 

กรณีมีสินค้าหลายตัว หรือขนาดบรรจุภัณฑ์หลากหลาย

หากแบรนด์มีมากกว่า 1 ผลิตภัณฑ์ หรือมีหลายขนาดบรรจุ เช่น:

  • ขนาดทดลอง
  • ขนาดขายปลีก
  • ขนาดขายส่ง

คุณสามารถกำหนดรหัส GTIN-13 ใหม่ โดยเปลี่ยนเฉพาะเลขหลักที่ 9–12 และเรียงลำดับให้ครอบคลุมสินค้าทั้งหมด จากนั้นให้นำรหัสไปคำนวณหมายเลขตรวจสอบได้ที่:
👉 gs1.org/services/check-digit-calculator

📦 ตัวอย่าง:

หากต้องการสร้างบาร์โค้ดขายปลีก สำหรับผลิตภัณฑ์ 2 ตัว สามารถกำหนดหมายเลข GTIN-13 ได้  0001 ถึง 9999

การสร้างบาร์โค้ดขายปลีก

การสร้างบาร์โค้ดขายปลีก

 

ตัวอย่างโครงสร้างรหัส GTIN-14 สำหรับบาร์โค้ดสินค้าขายส่ง/กล่องบรรจุภัณฑ์

ตัวอย่างโครงสร้างรหัส GTIN-14 สำหรับบาร์โค้ดสินค้าขายส่ง/กล่องบรรจุภัณฑ์
ตัวอย่างโครงสร้างรหัส GTIN-14 สำหรับบาร์โค้ดสินค้าขายส่ง/กล่องบรรจุภัณฑ์

 โครงสร้างของรหัส GTIN-14 ประกอบด้วย 3 ส่วนหลัก ดังนี้:

ตำแหน่งหลัก รายละเอียด
หลักที่ 1 รหัสสินค้าค้าส่ง (ผู้ใช้งานกำหนดแทน SKU)
หลักที่ 2–13 ใช้เลข GTIN-13 (12 หลักแรกของรหัสขายปลีก)
หลักที่ 14 หมายเลขตรวจสอบ (Check Digit) ที่ได้จากการคำนวณ

ผู้ใช้งานสามารถนำเลข GTIN-13 มาเพิ่มตัวเลขด้านหน้า (ระบุประเภทสินค้า/บรรจุ) แล้วคำนวณเลขตรวจสอบได้ที่
👉 gs1.org/services/check-digit-calculator

📦 ตัวอย่าง:

โครงสร้างของรหัส GTIN-14

โครงสร้างของรหัส GTIN-14

โครงสร้างของรหัส GTIN-14

 

สร้างสัญลักษณ์บาร์โค้ดได้ทันทีหลังขึ้นทะเบียน GTIN

เมื่อผู้ประกอบการได้ขึ้นทะเบียน GTIN-13 (สำหรับขายปลีก) และ GTIN-14 (สำหรับขายส่ง) กับสถาบันรหัสสากลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ก็สามารถนำเลขหมายเหล่านี้มาสร้างเป็น สัญลักษณ์บาร์โค้ด สำหรับติดบนบรรจุภัณฑ์ของสินค้าได้ทันที ไม่ว่าจะเป็น:

  • การจำหน่ายสินค้าผ่าน ห้าง Modern Trade
  • การ ส่งออกต่างประเทศ
  • การใช้ในการ จัดการสต็อกสินค้าในระบบออนไลน์

บาร์โค้ดจะช่วยให้คุณบริหารจัดการสินค้าได้ง่ายขึ้น ทั้งการรับ–จ่ายสินค้า การสแกนขาย หรือแม้แต่การออกใบกำกับภาษี

 

รูปแบบของสัญลักษณ์บาร์โค้ด

🔹 บาร์โค้ด 1 มิติ (1D Barcode)
หรือที่เรียกว่า Linear Barcode เป็นแถบแท่งสีขาวสลับดำ พร้อมตัวเลขกำกับ โดยความกว้างของแถบจะขึ้นอยู่กับรายละเอียดของผลิตภัณฑ์ สามารถอ่านค่าได้ด้วยเครื่องอ่านบาร์โค้ดทั่วไป

บาร์โค้ด 1 มิติ (1D Barcode)

 

🔹 บาร์โค้ด 2 มิติ (2D Barcode)
หรือที่หลายคนรู้จักในรูปแบบคล้าย QR Code เป็นบาร์โค้ดที่พัฒนาให้มีขนาดกะทัดรัด แต่สามารถเก็บข้อมูลได้มากกว่า 1 มิติ เหมาะสำหรับสินค้าที่มีพื้นที่จำกัดบนฉลาก และยังสามารถอ่านข้อมูลได้แม้บาร์โค้ดบางส่วนเสียหาย

บาร์โค้ด 2 มิติ (2D Barcode)

 

⚠️ ปัญหาที่พบบ่อยหากไม่มีระบบรองรับ Barcode

  • ต้องกรอกข้อมูลสินค้าซ้ำในหลายระบบ
  • ข้อมูลบาร์โค้ดไม่ตรงกันระหว่างคลัง–ขาย
  • ระบบคลังไม่รู้ว่าบาร์โค้ดไหนคือสินค้าใด
  • วิเคราะห์ยอดขายแยกตามรหัสสินค้าไม่ได้

ดังนั้น การมีเพียง Barcode อย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ หากไม่มีระบบ ERP ที่ช่วยจัดการข้อมูลเบื้องหลังอย่างเป็นระบบ

✅ Bplus ERP ระบบที่รองรับ Barcode ได้ครบวงจร

Bplus ERP คือระบบบริหารจัดการธุรกิจที่ถูกออกแบบมาให้สามารถใช้งานร่วมกับ Barcode ได้อย่างเต็มรูปแบบ ตั้งแต่ขั้นตอนการจัดซื้อ รับสินค้าเข้าคลัง ขายสินค้า ออกใบกำกับภาษี ไปจนถึงการสรุปรายงานบัญชี

จุดเด่นของ Bplus ERP สำหรับการใช้ Barcode:

  • รองรับหลายระดับ: ชิ้น – แพ็ก – ลัง – กล่อง
  • เชื่อมโยงระหว่าง Barcode กับรหัสสินค้า SKU ได้อัตโนมัติ
  • พิมพ์ฉลากบาร์โค้ดจากระบบโดยตรง
  • วิเคราะห์ยอดขาย–ต้นทุน–กำไร แยกตาม Barcode ได้
  • เชื่อมกับระบบบัญชีเพื่อออกใบกำกับภาษีได้ทันที
  • ป้องกันการขายสินค้าผิดรุ่น ผิดหน่วย หรือราคาผิด

Barcode คือเครื่องมือพื้นฐานของระบบค้าปลีกยุคใหม่ และการมีระบบ ERP ที่สามารถจัดการ Barcode ได้แบบครบวงจร คือสิ่งที่ช่วยยกระดับธุรกิจของคุณให้พร้อมรับมือทุกการแข่งขันในโลกการค้า
Bplus ERP จึงไม่ใช่แค่โปรแกรมบัญชี แต่คือเครื่องมือที่เชื่อมโยงทุกการทำงานของร้านค้า–คลังสินค้า–บัญชี–ภาษี เข้าด้วยกันอย่างลงตัว

เขียนโดย AI

 

สนใจระบบ Bplus ERP ที่รองรับบาร์โค้ดครบวงจร?

สามารถลงทะเบียนนัดสาธิตและทดลองใช้ คลิก

หรือติดต่อปรึกษากับเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญได้ที่

 
สนใจโปรแกรม ERP ติดต่อ 085-234-5980 สนใจโปรแกรม ERP ติดต่อ 02-880-9700 สนใจโปรแกรม ERP ติดต่อ Line @saleBPLUS