การจัดการและรับมือกับการทำงานกะแบบ Split Shift, ควบกะ, ควงกะ
การบริหารจัดการกะอย่างมีประสิทธิภาพ
การวางแผนและการจัดการ ตารางกะ ต้องคำนึงถึงการกระจายงานอย่างเหมาะสมเพื่อไม่ให้พนักงานทำงานเกินกำลัง หรือไม่มีเวลาเพียงพอในการพักผ่อน โดยเฉพาะการทำงานแบบ ควบกะ และ ควงกะ ที่อาจส่งผลต่อสุขภาพพนักงานหากไม่มีการจัดการอย่างเหมาะสม
การดูแลสุขภาพและสมดุลระหว่างชีวิตการทำงานและส่วนตัว
การทำงานแบบ Split Shift หรือ ควงกะ อาจทำให้พนักงานรู้สึกเหนื่อยล้าและเครียดมากขึ้น HR จึงควรจัดโปรแกรมสนับสนุนการพักผ่อน เช่น การแนะนำวิธีการจัดการเวลาส่วนตัว หรือการให้พนักงานมีเวลาพักเพียงพอก่อนทำงานกะถัดไป
การใช้เทคโนโลยีเพื่อช่วยจัดการตารางกะ
ซอฟต์แวร์หรือระบบ HR เช่น Bplus e-HRM สามารถช่วยในการจัดตารางกะ ควงกะ หรือ Split Shift ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยสามารถติดตามและตรวจสอบชั่วโมงการทำงานได้อัตโนมัติ
การจัด Day Off และสิทธิประโยชน์อื่นๆ
ควรมีการจัดการ วันหยุด อย่างเป็นระบบ โดยอาจสลับให้พนักงานแต่ละคนมี Day Off ตามตารางที่ไม่ขัดแย้งกับการดำเนินงาน และยังต้องให้สิทธิประโยชน์อื่นๆ ตามกฎหมายแรงงาน เช่น ค่าล่วงเวลาและสวัสดิการที่เหมาะสม
การเตรียมรับมือกับเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้น
ต้องเตรียมพร้อมสำหรับเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นในการทำงานเป็นกะ เช่น:
- พนักงานขาดงาน: ควรมีพนักงานสำรองหรือแผนการจัดการเพื่อให้ธุรกิจดำเนินงานต่อไปได้
- การเปลี่ยนกะ: หากพนักงานไม่สามารถทำงานตามกะที่กำหนดได้ ควรมีการวางแผนสำหรับ การสลับกะ (Shift Swapping) และตรวจสอบว่าใครสามารถเข้ามาทำงานแทนได้
- การขาดความยืดหยุ่นในกะ: เจ้าของธุรกิจควรให้ความสำคัญกับความยืดหยุ่นในการจัดการกะเพื่อรักษาความพึงพอใจและประสิทธิภาพของพนักงาน
ประเด็นเกี่ยวกับการสลับกะ (Shift Swapping)
สลับกะ (Shift Swapping) หมายถึงสถานการณ์ที่พนักงานไม่สามารถทำงานตามตารางกะที่กำหนดไว้ได้ตามประกาศ แล้วขอเปลี่ยนกะกับพนักงานคนอื่นที่ยินดีหรือสะดวกที่จะสลับกะกัน สถานการณ์นี้มักเกิดขึ้นเมื่อพนักงานมีภารกิจส่วนตัวหรือเหตุจำเป็นที่ทำให้ไม่สามารถมาทำงานในกะที่ได้รับมอบหมายตามปกติได้
ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการสลับกะ
- เหตุผลที่พนักงานต้องการสลับกะ
- พนักงานอาจมีเหตุผลส่วนตัว เช่น เรื่องครอบครัว การนัดหมายทางการแพทย์ หรือเหตุฉุกเฉินอื่นๆ ที่ทำให้ไม่สามารถทำงานตามกะเดิมได้
- ขั้นตอนในการสลับกะ
- บริษัทควรกำหนดขั้นตอนและเงื่อนไขที่ชัดเจนเกี่ยวกับการสลับกะ เช่น การแจ้งขอเปลี่ยนล่วงหน้า การตรวจสอบว่ามีใครยินดีสลับกะด้วย และการอนุมัติจากผู้จัดการหรือ HR
- การอนุญาตให้สลับกะ
- การสลับกะควรได้รับอนุญาตจากผู้จัดการหรือ HR เพื่อให้มั่นใจว่าการสลับกะนั้นไม่กระทบต่อการดำเนินงานขององค์กร และไม่มีการขาดแคลนบุคลากรในแต่ละกะ
- การสื่อสารที่ชัดเจน
- การสลับกะควรมีการสื่อสารที่ชัดเจนระหว่างพนักงานทั้งสองคนและฝ่ายที่เกี่ยวข้อง เพื่อป้องกันความสับสนหรือความผิดพลาดในตารางกะ
- ผลกระทบต่อทีมงานและการทำงาน
- การสลับกะอาจมีผลกระทบต่อทีมงาน เช่น การเปลี่ยนแปลงของผู้ปฏิบัติงานในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งอาจทำให้ต้องมีการปรับตัว หรือเกิดปัญหาด้านการประสานงาน การรับมือกับสถานการณ์นี้จึงต้องมีการวางแผนที่รอบคอบ
วิธีการจัดการการสลับกะ
- การใช้ซอฟต์แวร์จัดการกะที่ยืดหยุ่น
- การใช้ซอฟต์แวร์จัดการกะ เช่น Bplus e-HRM สามารถช่วยในการบันทึกและติดตามการสลับกะของพนักงานได้อย่างแม่นยำ ทำให้ไม่เกิดปัญหาการสื่อสารผิดพลาดและช่วยให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างต่อเนื่อง
- นโยบายการสลับกะที่ชัดเจน
- ควรมีนโยบายที่ชัดเจนเกี่ยวกับการสลับกะ โดยอาจกำหนดระยะเวลาในการแจ้งขอสลับกะล่วงหน้า เช่น แจ้งก่อน 1-2 วัน เพื่อให้บริษัทมีเวลาในการอนุมัติและจัดการบุคลากร
- การสนับสนุนให้พนักงานมีความยืดหยุ่นในการทำงาน
- การสลับกะช่วยสร้างความยืดหยุ่นให้กับพนักงาน และช่วยให้พนักงานสามารถจัดการชีวิตส่วนตัวได้ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ควรให้พนักงานสลับกะกันโดยไม่กระทบต่อทีมงานหรือการดำเนินธุรกิจ
- การรับรองความพร้อมของพนักงานในกะใหม่
- ก่อนที่จะสลับกะกัน ควรมีการตรวจสอบว่าพนักงานที่รับสลับกะมีทักษะและความพร้อมที่จะทำงานในกะนั้น เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในการทำงาน
การสลับกะ เป็นวิธีที่ช่วยให้พนักงานมีความยืดหยุ่นในเรื่องการทำงานมากขึ้น แต่ก็ต้องมีการจัดการที่ดีจากฝ่าย HR หรือผู้จัดการ เพื่อให้กระบวนการนี้ไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานขององค์กร