Resume หรือ “เรซูเม่” คือเอกสารที่สรุปประวัติส่วนตัว ประวัติการศึกษา ประสบการณ์ทำงาน ทักษะ และความสามารถของผู้สมัครงานอย่างกระชัด เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการแนะนำตัวเองให้นายจ้างรู้จักก่อนเรียกสัมภาษณ์งาน
Resume เปรียบเหมือน “โฆษณาตัวคุณ” ที่มีแค่หน้าเดียวหรือสองหน้า ที่จะทำให้นายจ้างรู้สึกว่า “คุณคือคนที่ใช่” ภายในเวลาไม่กี่วินาที
Resume ที่ดีไม่ใช่แค่ บอกว่าเราเคยทำอะไร แต่ต้อง โชว์ให้เห็นว่าเราสามารถทำอะไรได้บ้าง และเหมาะสมกับตำแหน่งที่สมัครอย่างไร
1. ประวัติส่วนตัว (Personal Information)
-
ใส่เฉพาะข้อมูลจำเป็น: ชื่อ-สกุล, เบอร์โทร, อีเมล, ที่อยู่ (โดยย่อ)
-
ใช้อีเมลที่ดูเป็นทางการ เช่น firstname.lastname@gmail.com
-
ใส่รูปถ่ายแบบสุภาพ หน้าตรง พื้นหลังเรียบ เพิ่มความน่าเชื่อถือ
2. ประวัติการศึกษา (Education Background)
-
เรียงจากระดับล่าสุดไปเก่าที่สุด
-
ระบุชื่อสถาบัน, คณะ/สาขา, ปีที่จบ และเกรดเฉลี่ย (ถ้ามี)
-
ถ้ามีการอบรมพิเศษที่เกี่ยวข้องกับงานที่สมัคร ก็ควรใส่ไว้ด้วย
3. งานที่ต้องการ (Job Objective / Career Goal)
4. ประสบการณ์ทำงาน (Work Experience)
-
เรียงลำดับจากล่าสุดไปก่อน
-
ระบุชื่อบริษัท, ตำแหน่ง, ระยะเวลาทำงาน
-
อธิบายหน้าที่ที่รับผิดชอบ และ ผลลัพธ์/ความสำเร็จ ที่เกิดขึ้น เช่น “พัฒนาแผนการตลาดออนไลน์ ทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้น 25% ใน 6 เดือน”
5. ใช้ฟอนต์ที่อ่านง่าย (Readable Font)
-
แนะนำให้ใช้ฟอนต์มืออาชีพ เช่น TH Sarabun, Cordia New, Calibri หรือ Arial
-
ขนาดฟอนต์ไม่เล็กเกินไป ตัวหัวข้อควรเด่นชัด จัด Layout ให้ดูสะอาด
6. ทักษะสำคัญในการทำงาน (Key Skills)
-
ระบุทักษะที่ตรงกับตำแหน่ง เช่น Microsoft Excel, PowerPoint, ภาษาอังกฤษ, การใช้โปรแกรม Photoshop, การบริหารเวลา
-
หากมีใบรับรองหรือผ่านการอบรม สามารถแนบมาด้วยเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ
เคล็ดลับปิดท้าย
-
ปรับ Resume ให้ตรงกับงานแต่ละตำแหน่งที่สมัคร อย่าใช้ฉบับเดียวกับทุกบริษัท
-
อ่านทบทวนก่อนส่ง อย่าให้มีคำผิดหรือข้อมูลล้าสมัย
-
ถ้าคุณมีผลงานพอร์ต หรือโปรเจกต์ที่น่าสนใจ แนบลิงก์ไว้ด้วยจะช่วยให้ Resume น่าดึงดูดยิ่งขึ้น
ที่มา JobBKK