ในโลกที่เต็มไปด้วยการสื่อสารอย่างรวดเร็ว การฟังอาจดูเหมือนทักษะพื้นฐานที่ทุกคนมี แต่การฟังอย่างลึกซึ้ง หรือ Deep Listening นั้น เป็นมากกว่าการได้ยินคำพูด มันคือการเปิดใจ รับรู้ และเข้าใจทั้งความหมายและอารมณ์ของผู้พูดอย่างแท้จริง
Deep Listening ไม่เพียงช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในชีวิตส่วนตัวและการทำงาน แต่ยังเป็นเครื่องมือทรงพลังที่ช่วยแก้ไขความขัดแย้ง สร้างความไว้วางใจ และส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ น้องบีพลัสจะพาไปดูความสำคัญของ Deep Listening และ 10 เทคนิคสู่แนวทางการเป็น นักฟังที่ดี ที่ครอบคลุมทั้งทักษะปฏิบัติและทัศนคติ พร้อมตัวอย่างและเคล็ดลับเพื่อนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน
ทำไม Deep Listening ถึงสำคัญ?
การฟังอย่างลึกซึ้งเป็นรากฐานของการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ ในที่ทำงาน การฟังที่ดีช่วยให้หัวหน้าเข้าใจความต้องการของทีม ลูกจ้างรู้สึกได้รับการยอมรับ และทีมสามารถร่วมมือกันได้อย่างราบรื่น ในชีวิตส่วนตัว การฟังช่วยกระชับความสัมพันธ์กับครอบครัว เพื่อน หรือคู่รัก โดยลดความเข้าใจผิดและสร้างความรู้สึกเชื่อมโยง นอกจากนี้ Deep Listening ยังมีประโยชน์ดังนี้:
-
สร้างความไว้วางใจ เมื่อผู้พูดรู้สึกว่าได้รับการฟังอย่างแท้จริง พวกเขาจะรู้สึกปลอดภัยและเปิดใจมากขึ้น
-
เพิ่มความเข้าใจ ช่วยให้จับใจความสำคัญและมองเห็นมุมมองของผู้อื่น
-
ลดความขัดแย้ง การฟังอย่างตั้งใจช่วยให้เข้าใจสาเหตุของปัญหาและหาทางแก้ไขได้ดีขึ้น
-
ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ การรับฟังไอเดียของผู้อื่นอย่างเปิดใจสามารถจุดประกายแนวคิดใหม่ๆ
ในทางกลับกัน การฟังที่ผิวเผิน เช่น การฟังแบบรอคอยให้ถึงตาตัวเองพูด หรือการขัดจังหวะ อาจทำให้เกิดความเข้าใจผิด ความรู้สึกถูกละเลย หรือแม้แต่ความขัดแย้ง ดังนั้น การฝึกฝน Deep Listening จึงเป็นทักษะที่ทุกคนควรพัฒนา
10 เทคนิคที่จะช่วยให้คุณสามารถฝึกฝน Deep Listening ได้อย่างเป็นรูปธรรม
1. สบตาผู้พูดเสมอ การสบตาแสดงถึงความสนใจและการมีส่วนร่วม แต่ต้องทำอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่จ้องจนทำให้ผู้พูดรู้สึกอึดอัด มองตาผู้พูดประมาณ 70-80% ของเวลา และพยักหน้าหรือยิ้มเล็กน้อยเพื่อแสดงว่าคุณกำลังฟัง หากเพื่อนร่วมงานเล่าถึงปัญหาในโปรเจกต์ การสบตาและพยักหน้าจะทำให้เขารู้สึกว่าคุณใส่ใจ
2. ใส่ใจแต่ไม่กดดัน การฟังที่ดีต้องทำให้ผู้พูดรู้สึกสบายใจ ไม่ใช่รู้สึกเหมือนถูกจับผิด การแสดงความสนใจอย่างเป็นมิตรจะช่วยสร้างบรรยากาศที่ผ่อนคลาย
ใช้ภาษากายที่เปิดกว้าง เช่น นั่งตัวตรงเล็กน้อย หันหน้าเข้าหาผู้พูด และหลีกเลี่ยงการกอดอก เมื่อลูกน้องเล่าถึงความกังวลในงาน อย่าขมวดคิ้วหรือทำหน้าเครียดเกินไป เพราะอาจทำให้เขารู้สึกกดดัน หากคุณรู้สึกว่อกแว่ก ให้หายใจเข้าลึกๆ เพื่อดึงสมาธิกลับมา
3. ฟังอย่างจับประเด็นและคิดภาพตาม Deep Listening ต้องการการจับใจความสำคัญและการนึกภาพตามสิ่งที่ผู้พูดเล่า เพื่อให้เข้าใจบริบทและอารมณ์ของเรื่อง ฟังคำสำคัญและพยายามเชื่อมโยงกับสิ่งที่คุณรู้ เช่น หากผู้พูดเล่าถึงความท้าทายในงาน ลองนึกภาพสถานการณ์นั้น หากเพื่อนเล่าถึงทริปท่องเที่ยว คุณอาจนึกภาพสถานที่หรือถามว่า “วิวที่นั่นสวยขนาดไหน?” เพื่อแสดงว่าคุณกำลังจินตนาการตาม จดบันทึกสั้นๆ หากเป็นการสนทนาทางธุรกิจ เพื่อช่วยจับประเด็นและไม่ลืมรายละเอียด
4. ถามเพื่อทำความเข้าใจ การถามคำถามที่แสดงถึงความสนใจและต้องการความกระจ่าง ช่วยให้ผู้พูดรู้สึกว่าเรื่องของพวกเขาสำคัญ ถามคำถามปลายเปิด เช่น “คุณรู้สึกยังไงกับสถานการณ์นั้น?” หรือ “ช่วยเล่าต่อหน่อยได้ไหม?” หากหัวหน้าเล่าถึงเป้าหมายใหม่ของบริษัท คุณอาจถามว่า “เราจะเริ่มจากขั้นตอนไหนก่อน?” เพื่อแสดงความสนใจและความเข้าใจ หลีกเลี่ยงคำถามที่ดูเหมือนตั้งคำถามเชิงวิจารณ์ เช่น “ทำไมคุณถึงทำแบบนั้น?”
5. ฝึกการฟังอย่างสม่ำเสมอ การฟังที่ดีเป็นทักษะที่ต้องฝึกฝนเหมือนการเล่นกีฬาหรือเครื่องดนตรี ยิ่งฝึกมาก ยิ่งทำได้ดี ฝึกฟังในสถานการณ์ประจำวัน เช่น ฟังพอดแคสต์แล้วจับใจความ หรือฟังเพื่อนเล่าเรื่องโดยไม่ขัดจังหวะ ลองตั้งเป้าว่าจะฟังเพื่อนเล่าเรื่อง 5 นาทีโดยไม่พูดแทรก แล้วสรุปสิ่งที่ได้ยินเพื่อทบทวน
6. ร่างกายต้องพร้อม สภาพร่างกายที่เหนื่อยล้า หิว หรือขาดพลังงานอาจทำให้เสียสมาธิและฟังได้ไม่ดี นอนหลับให้เพียงพอ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และออกกำลังกายเพื่อให้ร่างกายและสมองพร้อม หากคุณมีประชุมสำคัญตอนบ่าย ควรพักผ่อนให้เพียงพอก่อนหน้าเพื่อให้ฟังและมีส่วนร่วมได้เต็มที่ ดื่มน้ำหรือยืดเส้นยืดสายก่อนการสนทนาที่ยาว เพื่อรักษาความตื่นตัว
7. พร้อมที่จะรับรู้ การฟังอย่างลึกซึ้งต้องเริ่มจากการเปิดใจและพร้อมรับฟังมุมมองที่อาจแตกต่างจากคุณ วางอคติหรือความคิดเห็นส่วนตัวลงชั่วคราว และมุ่งเน้นที่สิ่งที่ผู้พูดต้องการสื่อ หากเพื่อนร่วมงานเสนอไอเดียที่คุณไม่เห็นด้วย ฟังให้จบก่อนแล้วถามคำถามเพื่อเข้าใจเหตุผลของเขา ฝึก Mindfulness หรือการเจริญสติ เพื่อช่วยให้คุณอยู่ในปัจจุบันและรับฟังได้อย่างเต็มที่
8. มีความอยากรู้อยากเห็น ความอยากรู้อยากเห็นช่วยให้คุณสนใจเรื่องของผู้พูดมากขึ้น และทำให้การฟังเป็นเรื่องสนุก มองทุกการสนทนาเป็นโอกาสในการเรียนรู้สิ่งใหม่ เช่น ถามตัวเองว่า “ฉันจะได้เรียนรู้อะไรจากเรื่องนี้?” หากลูกค้าบอกเล่าถึงปัญหาในธุรกิจ คุณอาจถามว่า “มันเริ่มเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่?” เพื่อขุดลึกถึงสาเหตุ
9. รับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า การฟังที่ดีต้องสังเกตทั้งคำพูดและภาษากาย เช่น น้ำเสียง สีหน้า หรือท่าทาง เพื่อเข้าใจอารมณ์และความรู้สึกของผู้พูด สังเกตสัญญาณที่ไม่ใช่คำพูด เช่น หากผู้พูดถอนหายใจหรือหลบตา อาจแสดงถึงความกังวล หากเพื่อนดูเศร้าขณะเล่าเรื่อง คุณอาจพูดว่า “ดูเหมือนเรื่องนี้จะหนักสำหรับเธอ อยากเล่าต่อไหม?” เพื่อแสดงความเข้าใจ
10. ไม่พูดแทรก การขัดจังหวะอาจทำให้ผู้พูดรู้สึกว่าคำพูดของเขาไม่สำคัญ และขัดขวางการไหลของความคิด รอให้ผู้พูดพูดจบประโยคหรือหยุดพูดก่อน แล้วค่อยตอบหรือถามคำถาม หากหัวหน้าเล่าถึงแผนงานใหม่ อย่ารีบแทรกด้วยความคิดเห็น รอให้เขาอธิบายจบแล้วค่อยเสนอไอเดีย หากอยากพูดอะไร ให้จดไว้ในใจหรือบนกระดาษ เพื่อไม่ลืมและยังคงฟังต่อได้
ที่มา JobsDB