ค่าอะไรบ้าง ที่พนักงานตรวจแรงงาน สั่งจ่ายได้

          เมื่อลูกจ้างถูกละเมิดสิทธิ หรือไม่ได้รับค่าจ้างและสิทธิประโยชน์ต่างๆ ตามกฎหมายแรงงาน หน่วยงานที่เข้ามาช่วยเหลือได้อย่างเป็นทางการก็คือ พนักงานตรวจแรงงาน ซึ่งมีอำนาจตามกฎหมายในการ “สั่งการให้จ่าย” ค่าตอบแทนต่างๆ แก่ลูกจ้างในกรณีที่มีการตรวจพบการฝ่าฝืน

น้องบีพลัสจะพามาดูว่า พนักงานตรวจแรงงานสามารถมีคำสั่งให้นายจ้าง “จ่ายเงิน” หรือ “ชดเชย” อะไรให้ลูกจ้างได้บ้าง พร้อมสรุปสาระสำคัญของแต่ละรายการ เพื่อให้ลูกจ้างเข้าใจสิทธิของตนเองได้ชัดเจน

1. ค่าจ้างตามมาตรา 5

หมายถึง ค่าตอบแทนการทำงาน ที่ลูกจ้างมีสิทธิได้รับ เช่น ค่าจ้างรายวัน รายเดือน หรือค่าตอบแทนในลักษณะอื่นๆ ที่ตกลงกันไว้ตามสัญญาจ้าง หากนายจ้างไม่จ่ายค่าจ้างตรงเวลา หรือจ่ายไม่ครบ พนักงานตรวจแรงงานสามารถสั่งให้จ่ายได้

2. ดอกเบี้ยและเงินเพิ่ม ตามมาตรา 9

ถ้านายจ้างจ่ายค่าจ้างล่าช้า ต้องจ่าย ดอกเบี้ย 15% ต่อปี และอาจต้องจ่าย เงินเพิ่ม อีกไม่เกิน 15% ของจำนวนที่ค้าง ถือเป็นบทลงโทษทางการเงิน เพื่อไม่ให้นายจ้างประวิงเวลาการจ่ายค่าจ้าง

3. เงินประกันการทำงาน (ม.100)

หากนายจ้างเรียกเก็บเงินประกันไว้ เช่น เพื่อประกันความเสียหายจากทรัพย์สิน ต้องคืนให้ลูกจ้างภายใต้เงื่อนไขของกฎหมาย พนักงานตรวจแรงงานมีอำนาจตรวจสอบและสั่งคืนหากลูกจ้างไม่ทำผิดเงื่อนไข

4. ค่าจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า (ม.17)

หากนายจ้างเลิกจ้างทันทีโดยไม่แจ้งล่วงหน้า ต้องจ่ายค่าจ้างเท่ากับระยะเวลาที่ควรแจ้งล่วงหน้า ใช้กรณีที่ไม่มีเหตุอันควรในการเลิกจ้างแบบฉุกเฉิน

5. ค่าล่วงเวลา (ม.61)

ลูกจ้างที่ทำงานเกินเวลาทำงานปกติ มีสิทธิได้รับ ค่าล่วงเวลา (OT) ตามอัตราที่กฎหมายกำหนด

6. ค่าทำงานในวันหยุด (ม.62)

หากนายจ้างให้ลูกจ้างมาทำงานในวันหยุดประจำสัปดาห์ ต้องจ่ายค่าจ้างอย่างน้อย 2 เท่าของอัตราปกติ

7. ค่าล่วงเวลาในวันหยุด (ม.63)

การทำงานเกินเวลาในวันหยุด ต้องได้รับค่าจ้างสูงขึ้น เช่น 3 เท่า ขึ้นไปในบางกรณี

8. ค่าตอบแทนการทำงานเกินเวลาทำงานปกติ (ม.65)

หากลูกจ้างทำงานตามเวลาที่ไม่แน่นอน ต้องได้รับค่าตอบแทนพิเศษในกรณีที่ทำงานเกินชั่วโมงทำงานปกติ เช่น คนขับรถ พนักงานรักษาความปลอดภัย

9. ค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี (ม.67)

ลูกจ้างมีสิทธิได้รับค่าจ้างในวันที่หยุดพักผ่อนประจำปี ซึ่งต้องไม่ต่ำกว่าปีละ 6 วัน (กรณีทำงานครบปี)

10. เงินระหว่างที่สั่งหยุดใช้เครื่องจักร (ม.75)

ถ้ามีเหตุให้ต้องหยุดการผลิต เช่น เครื่องจักรเสีย หรือเหตุจำเป็นอื่นๆ นายจ้างยังต้องจ่ายค่าจ้างอย่างน้อย 75% เพื่อคุ้มครองไม่ให้ลูกจ้างขาดรายได้จากเหตุสุดวิสัย

11. เงินระหว่างพักงานเพื่อสอบสวน (ม.116)

หากนายจ้างพักงานลูกจ้างเพื่อสอบสวนข้อเท็จจริง ต้องจ่ายค่าจ้างให้ระหว่างช่วงเวลานั้น จนกว่าจะมีผลสรุป หากลูกจ้างไม่ผิด นายจ้างต้องจ่ายค่าจ้างเต็มจำนวนย้อนหลัง

12. ค่าชดเชย (ม.118)

ลูกจ้างที่ถูกเลิกจ้างโดยไม่มีความผิดร้ายแรง มีสิทธิได้รับค่าชดเชยตามระยะเวลาทำงาน เริ่มตั้งแต่ 30 วัน ไปจนถึง 400 วัน ตามอายุงาน

13. ค่าชดเชยพิเศษกรณีย้ายกิจการ (ม.120)

หากมีการโอนกิจการ และลูกจ้างไม่ประสงค์จะย้ายตามไป หรือไม่มีการตกลงเงื่อนไขใหม่ ต้องได้รับค่าชดเชยพิเศษ

14. ค่าชดเชยพิเศษแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า (ม.120, 121)

กรณีที่ย้ายกิจการหรือมีเหตุจำเป็นบางอย่างที่ไม่ได้แจ้งล่วงหน้า ต้องจ่ายค่าชดเชยพิเศษแทน

15. ค่าชดเชยพิเศษจากการนำเทคโนโลยีใหม่มาใช้ (ม.122)

หากการนำเทคโนโลยีใหม่ เช่น AI หรือเครื่องจักร เข้ามาทำให้เลิกจ้างลูกจ้าง ต้องจ่ายค่าชดเชยพิเศษเพิ่มเติม เป็นมาตรการปกป้องแรงงานจากผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี

          พนักงานตรวจแรงงาน มีอำนาจตามกฎหมายในการ “สั่งให้นายจ้างจ่าย” เงินต่างๆ แก่ลูกจ้างที่ถูกละเมิดสิทธิ รวม 15 รายการ ที่ครอบคลุมค่าจ้าง ค่าล่วงเวลา ค่าชดเชย และสิทธิประโยชน์อื่นๆ ลูกจ้างควรตรวจสอบสิทธิของตนเอง หากพบว่าไม่ได้รับสิทธิ สามารถร้องเรียนต่อพนักงานตรวจแรงงานได้ และเมื่อมีคำสั่งแล้ว นายจ้างมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตาม หากฝ่าฝืน จะมีความผิดตามกฎหมาย รู้สิทธิไว้ ไม่เสียเปรียบ และกล้าใช้สิทธิตามกฎหมายแรงงานเพื่อความเป็นธรรม

 

ที่มา คลินิกกฎหมายแรงงาน