
เริ่มจากการต่อเนื่องจากกระบวนการรับสินค้า
หลังจากที่เรารับสินค้าเข้ามาแล้ว สิ่งที่ต้องทำต่อไปคือ การวิเคราะห์และปรับราคาสินค้า เพื่อให้สอดคล้องกับต้นทุนที่เปลี่ยนแปลงและสภาพตลาด ซึ่งกระบวนการนี้มีความสำคัญอย่างมากในการรักษากำไรและลดความเสี่ยงในการขาดทุน
ขั้นตอนการปรับราคาสินค้า
1. ตรวจสอบต้นทุนที่เปลี่ยนแปลง
- เมื่อรับสินค้าเข้ามา ระบบจะบันทึกข้อมูลต้นทุนใหม่และเปรียบเทียบกับต้นทุนเดิม
- หากพบว่าต้นทุนมีการเปลี่ยนแปลง ระบบจะแจ้งเตือนเพื่อให้ผู้ใช้งานทราบ
2. วิเคราะห์ข้อมูลต้นทุนและสต็อก
- ดูว่าสินค้าที่รับเข้ามามีต้นทุนเดิมและต้นทุนใหม่แตกต่างกันอย่างไร
- ตรวจสอบสต็อกสินค้าที่เหลืออยู่ เพื่อประเมินผลกระทบจากการปรับราคา
3. ทดสอบการปรับราคาก่อนบันทึกจริง
- ใช้เครื่องมือทดสอบราคาในระบบ เพื่อคำนวณผลกำไรหรือขาดทุนที่อาจเกิดขึ้นจากการปรับราคา
- ระบบจะแสดงข้อมูล GP (Gross Profit) ที่คาดการณ์ได้ เพื่อช่วยในการตัดสินใจ
4. ปรับราคาสินค้า
- หากผลการทดสอบเป็นที่น่าพอใจ สามารถปรับราคาสินค้าได้ทันที
- สามารถปรับราคาเป็นกลุ่มได้ เช่น ปรับราคาสินค้าทั้งหมดในหมวดหมู่เดียวกัน หรือตามยี่ห้อ
5. บันทึกและตรวจสอบประวัติการปรับราคา
- ระบบจะบันทึกประวัติการปรับราคาไว้ เพื่อให้สามารถตรวจสอบย้อนหลังได้
- รู้ว่าใครเป็นผู้ปรับราคา เมื่อไหร่ และปรับจากราคาไหนไปเป็นราคาไหน
ปรับปรุงกระบวนการปรับราคา
เพื่อให้การปรับราคามีประสิทธิภาพมากขึ้น สามารถปรับปรุงกระบวนการได้ดังนี้:
1. ใช้ระบบอัตโนมัติ
- ใช้ระบบ ERP เช่น Bplus ERP เพื่อปรับราคาอัตโนมัติตามต้นทุนที่เปลี่ยนแปลง
- ลดความผิดพลาดและประหยัดเวลาในการปรับราคา
2. เพิ่มการวิเคราะห์ข้อมูล
- ใช้ข้อมูลย้อนหลังและแนวโน้มตลาดเพื่อประกอบการตัดสินใจ
- วิเคราะห์ผลกระทบจากการปรับราคาต่อยอดขายและกำไร
3. ทดสอบราคาก่อนปรับจริง
- ใช้เครื่องมือทดสอบราคาในระบบ เพื่อประเมินผลกำไรหรือขาดทุนล่วงหน้า
- ลดความเสี่ยงในการตั้งราคาผิดพลาด
4. ปรับราคาเป็นกลุ่ม
- ปรับราคาสินค้าเป็นกลุ่มได้ในครั้งเดียว เพื่อประหยัดเวลาและลดความผิดพลาด
- เหมาะสำหรับการปรับราคาตามเทศกาลหรือโปรโมชั่น
5. ตรวจสอบประวัติการปรับราคา
- ตรวจสอบประวัติการปรับราคาเพื่อติดตามและแก้ไขข้อผิดพลาดได้ทันท่วงที
- รู้ว่าใครปรับราคา เมื่อไหร่ และปรับจากราคาไหนไปเป็นราคาไหน
สรุป
การปรับราคาสินค้าเป็นกระบวนการสำคัญที่ต้องทำอย่างรอบคอบและมีข้อมูลสนับสนุน เพื่อให้สอดคล้องกับต้นทุนที่เปลี่ยนแปลงและสภาพตลาด โดยการใช้ระบบ ERP เช่น BPLUS ERP จะช่วยให้การปรับราคามีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดความผิดพลาด และเพิ่มความรวดเร็วในการทำงาน
เริ่มใช้ Bplus ERP วันนี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดความเสี่ยงในการปรับราคาสินค้าของคุณ!