Startup (สตาร์ทอัพ) คืออะไร? แตกต่างจาก SME (เอสเอ็มอี) หรือไม่?

สำหรับคนที่คิดจะเริ่มต้นทำธุรกิจ แต่ยังไม่เข้าใจ และเห็นภาพไม่มากพอ หลายคนสับสนว่า Startup และ SME สองอย่างนี้ต่างกันอย่างไร เรามาดูกันว่าสองธุรกิจนี้แท้จริงแล้วมีอะไรที่ต่างกัน และมีอะไรที่เหมือนกันบ้าง 

Startup คืออะไร?

ความหมายโดยรวมแบบเข้าใจง่ายๆ ของ Startup คือ กิจการที่มีโมเดลธุรกิจในการสร้างผลิตภัณฑ์หรือบริการจากจุดเล็กๆ ให้เติบโตได้อย่างก้าวกระโดด โดยธุรกิจนั้นสามารถทำซ้ำได้ง่าย ขยายกิจการได้ง่าย มีนวัตกรรมหรือเทคโนโลยีเป็นปัจจัยหลักในการสร้างธุรกิจ ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นธุรกิจใหม่ๆ ที่ช่วยแก้ปัญหาชีวิตประจำวันแบบไม่มีใครทำมาก่อน

SME คืออะไร?

SME ย่อมาจากคำว่า Small and Medium Enterprises ซึ่งหมายถึงธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง โดยครอบคลุมกิจการด้านการผลิต ด้านการค้า และด้านบริการ สำหรับเกณฑ์ที่ใช้กำหนดขนาดของ SME คือ จำนวนการจ้างพนักงาน และจำนวนสินทรัพย์ถาวรของธุรกิจ

วัดกันที่ขนาดเริ่มต้น

หากเราวัดความแตกต่างที่ “ขนาดของกิจการ” เมื่อเริ่มต้นทำธุรกิจ สำหรับ Start Up มักจะมีขนาดที่เล็กมาก ๆ และสินทรัพย์ส่วนใหญ่ในตอนต้นจะมีน้ำหนักไปทาง “ไอเดียใหม่ ๆ” หรือสินทรัพย์ทางปัญญา ในขณะที่ SME จะมีขนาดกิจการที่ใหญ่กว่า และสินทรัพย์ส่วนใหญ่เป็นสินทรัพย์ที่จับต้องได้นั่นเอง

วัดกันที่แนวคิดเริ่มต้นการทำธุรกิจ

สำหรับ Start Up มักจะเริ่มต้นธุรกิจด้วยแนวคิดที่อยากจะแก้ไขปัญหาอะไรซักอย่าง ยกตัวอย่างเช่น ปัญหาการเรียกรถแท็กซี่ ที่เรียกใช้บริการค่อนข้างยาก และมีปัญหามากมาย ก็ทำให้เกิด Application บนมือถือ ที่เกี่ยวกับการเรียกใช้บริการรถแท็กซี่ผ่านมือถือ ก็ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว และขยายไปยังประเทศต่าง ๆ ได้หลายประเทศอีกด้วย ในขณะที่ SME อาจเริ่มต้นทำธุรกิจจากสินค้าที่มีอยู่แล้ว แต่อาจจะยังไม่เพียงพอต่อความต้องการ ทำให้มีผู้ผลิตเข้ามาผลิตสินค้า หรือบริการต่าง ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการที่ยังไม่เพียงพอ

วัดกันที่เทคโนโลยี

หากเราวัดความแตกต่างกันที่เทคโนโลยี สำหรับ Start Up ส่วนใหญ่จะใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ ในการขับเคลื่อนธุรกิจ หากเป็น Start Up ที่เกี่ยวกับการทำ Application บนมือถือ เพื่อตอบสนองความต้องการบางอย่างของลูกค้า ก็ต้องใช้เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงเป็นช่องทางในการเข้าถึงลูกค้า หรือแม้แต่งานที่เป็น “นวัตกรรม” ใหม่ ๆ เช่น รถยนต์ไร้คนขับ รถยนต์พลังงานไฟฟ้า เป็นต้น ในขณะที่ SME จะใช้เทคโนโลยีที่ตอบสนองกับกระบวนการผลิตเดิม ปรับปรุงให้ดีขึ้น อาจเป็นไอเดียที่ไม่ใหม่มาก แต่ช่วยให้สายการผลิต หรือกระบวนการบริการเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้รวดเร็วขึ้น เป็นต้น

 

จึงอาจจะกล่าวได้ว่า Startup ทั้งหมดก็คือ SME นั่นเอง แต่ SME ทั้งหมดไม่ได้เป็น Startup จะมีเฉพาะ SME บางแห่งที่มีโมเดลธุรกิจตรงตามนิยามของ Startup จึงจะถือว่า SME นั้นเป็น Startup อย่างไรก็ตามทั้ง Start Up และ SME ก็มีความเหมือนกันตรงที่เป็นการทำกิจการเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า และต้องคอยปรับตัวตามกระแสการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภคเหมือน ๆ กัน กระแสการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีใหม่ ๆ ในโลก ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจแบบไหนหากไม่รู้จัก “ปรับตัว” ก็มีโอกาสที่จะล้มหายจากไปได้เหมือนกัน

Startup สำคัญอย่างไร?

ด้วยลักษณะของโมเดลธุรกิจที่เติบโตแบบก้าวกระโดดจึงทำให้ Startup น่าสนใจอย่างยิ่ง เพราะโดยปกติแล้ว SME ทั่วไปเมื่อต้องการขยายกิจการเพื่อการเติบโตเป็นสองเท่า ก็ต้องลงทุนมากแบบใกล้เคียงกับทุนเดิม แต่สำหรับ Startup แล้วจะใช้เงินลงทุนเพิ่มน้อยกว่าทุนเดิมมาก แต่จะเติบโตได้มากกว่าเดิมหลายเท่า โดยการใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วย เช่น ใช้แอปพลิเคชั่นช่วยในการขาย สร้างเว็บไซต์หรือทำเพจเพื่อขายให้กับลูกค้าได้ทั่วโลก สร้างระบบแฟรนไชส์เพื่อสามารถขยายสาขา (ทำซ้ำ) จำนวนมาก (เติบโตแบบก้าวกระโดด) ได้อย่างสะดวกรวดเร็วและลดต้นทุนได้มาก ส่วนใหญ่ Startup ที่เราเห็นมักเป็นธุรกิจเกี่ยวกับไอที แต่ที่จริงแล้ว Startup ไม่จำเป็นต้องเป็นผลิตภัณฑ์หรือบริการที่เกี่ยวกับไอทีแต่อย่างใด จะเป็นสินค้าอะไรทั่วไปก็ได้ เพียงแต่มีการใช้ไอทีเข้าช่วยให้กิจการเติบโตแบบก้าวกระโดดได้เท่านั้นเอง

ที่มา www.krungsri.com และ  เพจ INSEE Group