-
-
ข่าวสาร
-
POS
-
ชวนผู้ประกอบการทำความเข้าใจเกี่ยวกับบาร์โค้ด เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการสินค้า
ประเภทของบาร์โค้ดและการใช้งาน
ตัวอย่างประเภทบาร์โค้ดแต่ละแบบ
- UPC (Universal Product Code)
ตัวอย่าง: 036000291452
ลักษณะ: บาร์โค้ด 1D ที่มี 12 หลัก ใช้มากในซูเปอร์มาร์เก็ตและร้านค้าปลีกในสหรัฐอเมริกา
- EAN (European Article Number)
ตัวอย่าง: 8851234567890
ลักษณะ: บาร์โค้ด 1D ที่มี 13 หลัก โดยรหัส 885 บ่งบอกว่าสินค้านั้นผลิตหรือจำหน่ายในประเทศไทย ใช้ในการค้าปลีกทั่วโลก
- Code 39
ตัวอย่าง: CODE39EXAMPLE
ลักษณะ: บาร์โค้ด 1D ที่สามารถเข้ารหัสตัวเลขและตัวอักษร ใช้ในอุตสาหกรรมการผลิตและการติดตามเอกสาร
-
Code 128
ตัวอย่าง: 123456789ABCDEFGHIJ
ลักษณะ: บาร์โค้ด 1D ที่สามารถเข้ารหัสข้อมูลที่มากกว่าและซับซ้อนกว่า Code 39 ใช้ในโลจิสติกส์และการขนส่งสินค้า
-
ITF (Interleaved 2 of 5)
ตัวอย่าง: 1234567890
ลักษณะ: บาร์โค้ด 1D ที่ใช้รหัสตัวเลขอย่างเดียว นิยมใช้ในการติดบาร์โค้ดบนบรรจุภัณฑ์สำหรับการขนส่ง
-
QR Code (Quick Response Code)
ลักษณะ: บาร์โค้ด 2D ที่สามารถเข้ารหัสข้อมูลได้มาก เช่น ลิงก์เว็บไซต์ ข้อความ เบอร์โทรศัพท์ ใช้ในการตลาดดิจิทัลและการชำระเงินผ่านมือถือ
-
Data Matrix
ตัวอย่าง: ข้อมูลที่เข้ารหัส: ABC12345
ลักษณะ: บาร์โค้ด 2D ขนาดเล็ก ใช้ในอุตสาหกรรมการผลิตสำหรับชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์หรือยานยนต์
-
PDF417
ตัวอย่าง: ข้อมูลที่เข้ารหัส: ข้อมูลข้อความขนาดใหญ่หรือไฟล์เอกสาร
ลักษณะ: บาร์โค้ด 2D แบบสแต็ค ใช้ในการจัดเก็บข้อมูลขนาดใหญ่ เช่น บัตรประจำตัวประชาชนหรือบัตรโดยสาร
การเลือกใช้บาร์โค้ดที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับความต้องการเฉพาะของธุรกิจและการใช้งานในแต่ละสถานการณ์
การใช้บาร์โค้ดในธุรกิจค้าปลีก: เครื่องมือสำคัญสำหรับการจัดการสินค้า
การใช้บาร์โค้ดเป็นสิ่งสำคัญในการจัดการสินค้าสำหรับธุรกิจค้าปลีก ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจสอบสต็อก การคิดเงิน และการทำรายงาน บาร์โค้ดมีหลายประเภทที่สามารถเลือกใช้ตามความเหมาะสมกับประเภทสินค้าที่จำหน่ายในร้าน การเลือกใช้บาร์โค้ดในธุรกิจค้าปลีกควรพิจารณาจากลักษณะของสินค้าและความต้องการใช้งาน ซึ่งสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 กรณีหลัก
1.สินค้าที่มีบาร์โค้ดมาตรฐานอยู่แล้ว
สำหรับสินค้าที่มาจากผู้ผลิตที่มีบาร์โค้ดมาตรฐาน เช่น UPC หรือ EAN คุณสามารถใช้บาร์โค้ดนั้นได้ทันที ช่วยลดความซับซ้อนในการจัดการและสอดคล้องกับมาตรฐานสากล
2.สินค้าที่ไม่มีบาร์โค้ดมาตราฐาน
หากสินค้าที่จำหน่ายไม่มีบาร์โค้ดมาตรฐาน การใช้ EAN-13 เป็นทางเลือกที่เหมาะสม คุณสามารถสร้างบาร์โค้ดใหม่โดยใช้เลขช่วง 20-29 ซึ่งสงวนไว้สำหรับการใช้งานภายในองค์กรโดยไม่ต้องจดทะเบียนกับ GS1 เพื่อความสม่ำเสมอและง่ายต่อการจัดการสินค้าภายในร้าน
ข้อควรพิจารณาในการใช้ EAN-13 สำหรับสินค้าที่ไม่มีบาร์โค้ด
ความสอดคล้องกันของระบบ: การใช้ EAN-13 ในสินค้าทั้งร้านช่วยให้การจัดการสินค้ามีความสอดคล้องกัน ลดข้อผิดพลาดในการตรวจสอบสต็อกและขายสินค้า
การสร้างบาร์โค้ด: สามารถสร้าง EAN-13 โดยใช้ช่วงเลข 20-29 ซึ่งไม่ต้องจดทะเบียนกับ GS1 และควบคุมการใช้งานได้เอง
ความสม่ำเสมอในการจัดการ: ใช้บาร์โค้ดแบบเดียวกันทั้งร้านช่วยให้ทุกระบบทำงานอย่างเป็นระบบ ลดความสับสนในการจัดการและติดตามสินค้า
สรุป
การเลือกใช้บาร์โค้ดที่เหมาะสมในธุรกิจค้าปลีกเป็นสิ่งสำคัญต่อการจัดการสินค้าที่มีประสิทธิภาพ การใช้บาร์โค้ดมาตรฐาน UPC หรือ EAN สำหรับสินค้าที่มีบาร์โค้ดอยู่แล้วช่วยลดความซับซ้อนในการทำงาน ส่วนสินค้าที่ไม่มีบาร์โค้ดมาตรฐาน การสร้างบาร์โค้ด EAN-13 เป็นทางเลือกที่เหมาะสมที่สุด โดยควรใช้บาร์โค้ดแบบเดียวกันในสินค้าทั้งร้านเพื่อความสะดวกในการจัดการ และลดความซับซ้อนในระบบธุรกิจของคุณ
26 August 2024
View
1,035