ประกันสังคม ... นายจ้างหักเงินไว้ แต่ไม่นำส่งจริง ลูกจ้างก็ยังใช้สิทธิได้

        เงินสมทบประกันสังคม คือ เงินที่ลูกจ้างและนายจ้างต้องจ่ายร่วมกันเพื่อนำเข้ากองทุนประกันสังคม ตาม พระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 เพื่อให้ลูกจ้างที่เป็นผู้ประกันตนได้รับสิทธิประโยชน์ต่างๆ เช่น การรักษาพยาบาล เงินทดแทนกรณีเจ็บป่วย ว่างงาน หรือเงินบำนาญชราภาพ

  • เป็นเงินที่หักจากค่าจ้างของลูกจ้าง + เงินที่นายจ้างสมทบเพิ่ม + เงินที่รัฐบาลช่วยสมทบ (ในบางกรณี)

  • คำนวณจากค่าจ้างของลูกจ้าง โดยมีขั้นต่ำและสูงสุดกำหนดไว้

ใครต้องจ่าย?

  1. ลูกจ้าง (ผู้ประกันตน มาตรา 33)

    • หักจากค่าจ้าง 5% (สูงสุดไม่เกิน 750 บาทต่อเดือน เพราะฐานค่าจ้างสูงสุดที่คำนวณคือ 15,000 บาท)

    • ตัวอย่าง: ค่าจ้าง 10,000 บาท → หัก 500 บาท/เดือน

  2. นายจ้าง  

    มีหน้าที่หักเงินจากลูกจ้างและนำส่ง สปส. ทุกเดือน (ภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป)

    • จ่ายสมทบในอัตรา 5% ของค่าจ้างลูกจ้าง (สูงสุด 750 บาท/คน/เดือน เช่นกัน)

    • ตัวอย่าง: ลูกจ้างได้ 10,000 บาท → นายจ้างจ่ายสมทบ 500 บาท

  3. รัฐบาล

    • สมทบเพิ่มในบางส่วน (เช่น กรณีชราภาพ) แต่ไม่ใช่ทุกกรณี โดยทั่วไปคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 2.75% ของค่าจ้าง

        หากนายจ้างหักเงินสมทบประกันสังคมจากค่าจ้างของลูกจ้าง แต่ไม่นำเงินส่วนนั้นไปส่งต่อให้สำนักงานประกันสังคม (สปส.) ลูกจ้างยังคงมีสิทธิ์ใช้ประโยชน์จากประกันสังคมได้ตามปกติ ตาม พระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 และนโยบายของ สปส.

        สิทธิของลูกจ้างไม่ขึ้นกับการกระทำของนายจ้าง
เมื่อนายจ้างหักเงินสมทบจากลูกจ้าง (ตามมาตรา 33) ถือว่าลูกจ้างได้ปฏิบัติหน้าที่ของตัวเองครบถ้วนแล้ว ความรับผิดชอบในการนำส่งเงินสมทบเป็นหน้าที่ของนายจ้างตามกฎหมาย (มาตรา 47) ถ้านายจ้างไม่นำส่ง สปส. จะไม่ตัดสิทธิลูกจ้าง เพราะถือว่านายจ้างเป็นฝ่ายผิด ไม่ใช่ลูกจ้าง

        ระบบประกันสังคมคุ้มครองลูกจ้าง
สปส. มีฐานข้อมูลการหักเงินจากลูกจ้างผ่านการยื่นแบบรายงาน (เช่น สปส. 1-10) หรือหลักฐานการจ่ายค่าจ้าง แม้นายจ้างจะไม่นำส่งเงินจริง ลูกจ้างที่ถูกหักเงินแล้วยังคงได้รับการบันทึกว่าเป็นผู้ประกันตน และสามารถใช้สิทธิได้ เช่น

  • สิทธิรักษาพยาบาล (เจ็บป่วย คลอดบุตร)

  • เงินทดแทนการขาดรายได้

  • เงินบำนาญชราภาพ

  • สิทธิกรณีว่างงาน

        สปส. มีกลไกตามเงินจากนายจ้าง
ถ้านายจ้างไม่นำส่งเงินสมทบ สปส. สามารถดำเนินการทางกฎหมายกับนายจ้างได้ เช่น เรียกเก็บเงินพร้อมดอกเบี้ย หรือดำเนินคดีตามมาตรา 94 ซึ่งมีโทษปรับและจำคุกได้ แต่ทั้งหมดนี้ไม่กระทบสิทธิของลูกจ้าง 

นายจ้างที่หักเงินแต่ไม่นำส่ง มีความผิดตามกฎหมายชัดเจน อาจถูกปรับสูงสุด 20,000 บาท หรือจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือทั้งจำทั้งปรับ (มาตรา 94) และต้องชำระเงินสมทบค้างจ่ายพร้อมดอกเบี้ย 2% ต่อเดือน

 

สิ่งที่ลูกจ้างควรทำ

  • ตรวจสอบสถานะผู้ประกันตน
    เช็คผ่านเว็บไซต์ สปส. (www.sso.go.th) หรือแอป SSO Connect 

  • เก็บหลักฐานการถูกหักเงิน
    เช่น สลิปเงินเดือน หรือใบรับรองการหักเงิน เพื่อใช้ยืนยันกับ สปส. หากเกิดปัญหา

  • แจ้ง สปส. หากพบว่านายจ้างไม่นำส่ง
    ติดต่อสำนักงานประกันสังคมในพื้นที่ เพื่อให้ดำเนินการกับนายจ้างต่อไป

 

ที่มา คลินิกกฎหมายแรงงาน